Banner Placeholder
Banner 1
Banner 2
Banner 3
Banner 4

Bromo & Kawah Ijen ไปง่ายไม่ถึงหมื่น!!

Bromo & Kawah Ijen ไปง่ายไม่ถึงหมื่น!!



Bromo ชื่อนี้เราได้ยินและรู้จักครั้งแรกจากกระทู้หนึ่งในเวปต์ดัง ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งต้องไปให้ได้ พยายามหาข้อมูลเอาไว้มากมาย จนในที่สุดเมื่อได้สอยโปร 0 บาท จากแอร์เอเชีย เป็นโปรข้ามปีที่เหล่าสาวกหางแดงน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดยังไม่ทราบเราจะบอกให้ฟังค่ะ ในหนึ่งปีจะมีโปรโมชั่นถูกแสนถูกยิ่งกว่านั่งรถทัวร์ของเจ๊เกียว ส่วนระยะเวลาตอนไหน อย่างไร ไม่อาจฟันธงได้ ต้องหมั่นคอยส่องกันเอาเองนะคะ เราสอยโปรนี้ต้นทาง ดอนเมือง – สุราบายา ในราคาคนละ2200 บาท (ถูกเวอร์ๆ) จองจนเกือบลืมเพราะนานมาก ใครที่แพลนชีวิตล่วงหน้าเป็นปีๆ ไม่ได้ไม่แนะนำให้จองค่ะ และแล้วเหมือนฟ้าผ่าเมื่อได้ข่าวว่าแอร์เอเชียยกเลิกเส้นทางสุราบายา OMG! ชีวิตยากแล้วทีนี้ ทำไงดีล่ะ ตอนแรกแอบหวั่นๆ ว่าจะได้ไปหรือเปล่า โชคดีที่แอร์เอเชียให้เปลี่ยนเส้นทางได้ด้วยการไปต่อเครื่องที่ จาร์การ์ต้า บาหลี หรือ กัวลาลัมเปอร์ก็ได้เช่นกัน 


เราเลือกเส้นทาง ดอนเมือง – จาร์กาต้า – สุราบายา ขากลับก็กลับเส้นเดิม ตอนนี้หลายๆ คนคงจำชื่อเมืองสุราบายากันได้แม่นแล้วสิ กับเหตุการณ์เครื่องบิน QZ 8501 ประสบอุบัติเหตุ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เอาล่ะมาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า (นอกเรื่องซะเยอะ) เราไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ผ่านไปหลายเดือนเพิ่งจะรีวิว เราออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน QZ 251 จากดอนเมือง 11.25 น. ถึงจาร์การ์ตา 14.45 น. หาอะไรทานที่สนามบินรอเวลาต่อเครื่องไปสุราบายา ซึ่งสนามบินที่จาร์การ์ตาเริ่ดมาก Wifi เร็วสุดๆ ไปนั่งร้านไหนก็ได้ค่ะ อ้อ..แนะนำว่าให้แลกเงินจากบ้านเราไปดีกว่า อัตราดีกว่าไปแลกที่สนามบิน จริงๆเดินหาที่แลกเงินที่สนามบินแต่หาไม่เจอนะ เราและชาวคณะก็ไปนั่งร้านอาหารสั่งอาหารมาคนละอย่างและก็ต่างคนก็ต่างนั่งเล่นมือถือไปจนได้เวลาขึ้นเครื่อง 16.45 น. และถึง สุราบายา เวลา 20.15 น.


การเที่ยวในทริปนี้เราได้ติดต่อคนขับรถไว้เรียบร้อยแล้วชื่อ ทอมมี่ ส่งอีเมลติดต่อก่อนเดือนทางเกือบสองเดือน เราได้แจ้งสถานที่ที่เราจะไปว่าเราต้องการไปที่ไหนบ้าง รวมทั้งที่พักที่เราอยากไปพักด้วยก็ยิ่งดีค่ะ ทอมมี่จะได้ตรวจสอบราคาให้ ซึ่งเราจะจ่ายเป็นแพคเกจรวมไปเลย ของเรา 4 คน ทอมมี่คิด 8,000,000 Rp. ช็อกมั้ยล่ะ ทัวร์อะไรตั้ง 8 ล้าน หากแปลงเป็นไทยคือประมาณ 20,800 บาท (อัตราแลกเปลี่ยวันนั้นคือ 1 บาท เท่ากับ 2.45 IDR ) ราคานี้รวมค่าน้ำมันพร้อมคนขับเป็นเวลา 4 วัน รวมค่าที่พัก 3 คืน ค่าไกด์ท้องถิ่น ค่ารถจี๊ป ราคาจะเปลี่ยนแปลงหากจำนวนวันน้อยลงและห้องพักที่เลือก ซึ่งเราเลือกที่ไหนทำไมแพงขึ้นต้องติดตาม


รถที่มารับเราค่อนข้างใหม่เป็นรถ 7 ที่นั่ง นั่งกันสบายเลยล่ะสำหรับ 4 คน เราเริ่มต้นทริปนี้ด้วยการไปที่ Kawah Ijen (ระยะทางประมาณ 260 กม.) คือเจอหน้าทอมมี่ทักทายนิดหน่อยแล้วก็เดินไปซื้อมิสเตอร์บันกินแก้หิวกันก่อน ขึ้นรถปุ๊บบอกเอ็ดดี้ว่าไอหิวพาไอและชาวคณะไปกินข้าวหน่อย เน้นร้านบ้านๆนะ เพราะพวกเรางบน้อบ ทอมมี่ก็บอกได้เลยแป๊บเดียวอดใจรอนะ แป๊บอะไรคะคุณกว่าจะถึงร้านเรียกว่าออกนอกเมืองไปไกลมากไปจ๊ะเอ๋กับร้านข้าวร้านใหญ่ดี พอไปถึงพนักงานทำหน้างงเล็กน้อย คือร้านปิดแล้ว!! lสรุปมื้อแรกที่สุราบายาพวกเรากิน KFC !! (มื้อแรกคนละ 100 นิดๆ) เอาล่ะอิ่มแล้วเดินทางต่อล้อหมุนตอน 4 ทุ่ม ซึ่งไม่ต้องนั่งมองทางเลยค่ะคุณ เพราะว่ามืดสนิท แถมทางก็ไม่ใช่จะดีหวาดเสียวมากเราเผลอลืมตาตอนตี 1 กว่า ๆ หลับต่อดีกว่าไม่กล้ามองเพราะว่าทางทั้งเล็กทั้งแคบ 


ประมาณตี 4 กว่าๆ เกือบๆ ตี 5 ฟ้าสว่างโร่มาก ให้อารมณ์เหมือน 8 โมงบ้านเรา (พระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 4) ทอมมี่จอดรถและบอกให้พวกเราลงไปดูทุ่งดอกอาราบิก้า คือดอกอาราบิก้าบานทั้งดอยเหมือนบ้านเราที่ฮิตๆ พญาเสือโคร่งประมาณนั้นเลยค่ะ 


หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปกับที่แรกสนุกสนานเราก็ไปนั่งชมวิว สัมผัสแดดอุ่นๆ ยามสาย ว่าจะจัดกาแฟกันสักแก้วแต่ร้านยังไม่เปิด ทอมมี่ชี้ให้ดูว่าพรุ่งนี้เราจะไปพิชิตยอดเขาลูกนั้นกัน


อาหารมื้อแรกในหมู่บ้านหน้าตาประมาณนี้เลย ชามละ 20,000 – 35,000 Rp. นึกอะไรไม่ออกสั่งนี่เลย Nasi Gorang เป็นข้าวผัด รสชาติดีทีเดียว เรียกว่ารอดนะถ้าใครกินยาก เราจำชื่อเมนูนี้ไว้ขึ้นใจเรียกว่ากินอยู่อย่างเดียวทั้งทริป 555 ส่วนรูปด้านบนคือซุปเนื้อ กับซุปไก่ กินอิ่มมื้อแรกเราก็ไปเช็คอินเข้าพักที่ Catimor Homestay 


โรงแรมยอดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย เป็นโรงแรมเก่าแก่ ราคาห้องไม่แพงน่าจะหลักร้อย เราไปถึงเช้าเกินไปห้องที่จองไว้ยังไม่เสร็จแต่ก็ได้เข้าพักห้องรับรองก่อน ที่นี่มี Wifi ด้วยค่ะ 




สภาพห้องก็ประมาณนี้เลย ไม่มีแอร์ อากาศหนาวทั้งปีแอร์คงไม่จำเป็น ซุกนอนกันได้ห้องละ 2 คน เราไปถึงล้มตัวลงนอนทันทีเพราะว่าปวดเมื่อยมาก วันแรกเรายังมีเวลานอนพักเอาแรง เพราะคืนนี้เราต้องออกเดินทางไป Kawah Ijen ตอนตี 1 อ้อ..อาหารเที่ยงจะทานที่นี่หรือเดินไปหาร้านทานในหมู่บ้านก็ได้ เพราะที่นี่ราคาอาหารค่อนข้างแพง ไปทานในหมู่บ้านก็เมนูละ 30-40 บาท อิ่มและประหยัดดี




ยามบ่ายเราออกไปสัมผัสหมู่บ้านและเดินไปเที่ยวน้ำตก Blawan ระยะทางประมาณ 2-3 กิโลเมตร จากที่พัก หมู่บ้านนี้สร้างบ้านแบบเดียวกัน หน้าบ้านปลูกผักสวนครัว กะหล่ำปลีหัวใหญ่กว่าภูทับเบิกอีกนะ เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่รายล้อมด้วยขุนเขาและเลี้ยงแพะเป็นส่วนใหญ่ 


เดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย มีเพียงเราเท่านั้นไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ น้ำตก Blawan เป็นน้ำตกที่ลงไปเล่นน้ำไม่ได้ น้ำค่อนข้างไหลแรง ดูจากรูปที่คนอื่นถ่ายก็เออสวยจังต้องไปนะ พอไปถึง อืม...เอาเป็นว่าไปแล้วก็เดินไปดูหน่อยไม่เสียหลาย 


ตี 1 ทุกคนพร้อมมากกับการเดินทางไกล สู่ Kawah Ijen ทะเลสาบสีมรกต ทอมมี่เอาขนมปัง กาแฟ มาบริการ ตี 1 กว่าๆ ล้อหมุนจากที่พักมุ่งหน้าไปตีนเขา เราไปถึงตีนเขาประมาณตี 2 ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถ่ายรูปอะไรได้ อากาศก็หนาวมากเลยล่ะ ทอมมี่ไม่ได้เดินไปกับเราด้วยแต่ได้ติดต่อไกด์ท้องถิ่นไว้ให้แล้ว เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาไม่รู้ดูไม่ชัดเพราะว่ามืดมากจำได้แต่เสียง แต่พูดเก่งมาก ก็ค่อยๆ เดินตามกันไป นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยล่ะ



เราเดินไปได้ประมาณไม่ถึงกิโลเมตร รู้สึกเหนื่อยมากจะเป็นลม คือเดินแบบไม่เห็นทางมีเพียงไฟฉายนำทาง กับดาวเต็มท้องฟ้า ดาวสวยมากจริงๆ ค่ะ ไม่เคยเห็นดาวที่ไหนสวยแบบนี้มาก่อนเลย เรียกว่าเป็นเส้นทางที่ได้เห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า แต่ถ่ายรูปมาอวดไม่ได้เสียดายจัง เดินไปก็จะมีจุดพักเป็นระยะๆ ไม่ต้องห่วง หากเราไม่ไหวบอกไกด์ให้หยุดก่อนได้ ค่อยๆ ไปไม่ต้องรีบร้อน หากเดินแบบพักไม่นานก็จะใช้เวลาถึงจุดหมายไม่น่าเกิน 2 ชั่วโมง 


กลุ่มเราใช้เวลาถือว่าไม่ช้าและไม่เร็วมากไปถึงปากปล่องเกือบๆ ตี 4 ยังได้ถ่าย Blue Frame อย่าลืมผ้าปิดจมูกเพราะกลิ่นกำมะถันแรงสุดๆ แทบจะเป็นลม Kawah Ijen ทะเลสาบบนปากปล่องอดีตภูเขาไฟสีเทอคอยซ์ หนาวก็หนาวไม่รู้จะถ่ายยังไงให้สวยไม่ได้ทำการบ้านด้วยสิ ตอนนั้นลมแรงสุดๆ นั่งหนาวสั่นไปหมด เรารอจนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อจะได้ถ่ายทะเลสาบสีเขียวเหมือนที่เห็นในรูป



รอยังไงฟ้าก็ไม่เปิด แถมลมแรงมากๆ พัดควันกำมะถันลอยคลุ้งไปหมด ทำไมบางคนบอกว่าถ้าลมแรงจะพัดควันออกไป เรานี่งงเลย? เรายังคงนั่งรอต่อไปส่วนสมาชิกที่เหลือถอดใจแล้วบอกว่ารอไปก็ไร้ประโยชย์ คือเราอยากถ่ายรูปมากๆ มาถึงนี่แล้วไม่ได้รูปแบบที่ตั้งใจก็รู้สึกเสียเที่ยว แต่รอจนท้องเริ่มหิวน่าจะ 6-7 โมงแล้ว ยังไงก็ถ่ายไม่ได้ก็เลยพากันลงค่ะ T_T


ยืมรูปจากคุณ tounka มาให้ดูกันว่าลมเป็นใจคุณจะเห็นความงดงามของ Kawah Ijen แบบในรูปนี้ค่ะ เอาล่ะเมื่อหมดเวลารอคอยทะเลสาบสีเขียวแล้ว เราพากันลงจากเขา ระหว่างจะเห็นได้ว่ามีคนแบบกำมะถันหนัก 100 โล กันเยอะมาก ไกด์บอกว่าบางคนแบกวันละหลายเที่ยว โอววววขนาดเราเดินตัวเปล่าขึ้นเขาเที่ยวเดียวแทบไม่รอดเลยค่ะคุณ ชนะเลิศลูกหาบจากภูกระดึงเลยเพราะนี่หนักกว่าหลายเท่านัก


ตอนเดินขึ้นมองไม่เห็นไง พอเดินลงเห็นมั้ยคะว่ามันหวาดเสียวมาก ก้าวพลาดนิดเดียวตกเขาได้เลยนะ แต่เขาที่นี่ไม่น่ากลัวค่ะเพราะต้นไม้ไม่เยอะ 



เสียดายที่เพิ่งเกิดไฟป่า ทำให้ต้นไม้เหลือแต่ตอดำๆ เต็มไปหมด แต่มองอีกมุมหนึ่งก็ให้ความสวยงาม(แบบแปลกๆ) ไปอีกแบบนะ เดินลงไปถึงทำเวลาดีแทบจะสไลด์ลงเลย แนะนำว่าหากไม่ซีเรียสเรื่องถ่าย Blue Flame ไม่ต้องรีบขึ้นก็ได้สัก 9 โมง ค่อยเดินขึ้นก็ไม่สายขึ้นไปเผื่อลมจะเป็นใจเจอทะเลสาบสวยๆ ตรงหน้าก็ได้ค่ะ 



ทานข้าวเช้ากันเรียบร้อยเราก็เดินทางต่อไปยังไฮไลต์สำหรับทริปนี้นั่นก็คือ Bromo นั่นเองค่ะ การเดินทางก็ครึ่งค่อนวันปวดเมื่อยก้นไปหมด โชคดีที่รถนั่งสบาย ยกนิ้วให้ทอมมี่เลยขับรถเร็วแต่ปลอดภัย เฟี้ยวฟ้าวมากค่ะ 


เราเข้าพักที่ Lava View Lodge ที่นี่เลยค่ะทำให้ราคาทัวร์ของเราสูงขึ้นเพราะหากมองจากหน้าห้องพักจะเห็นวิว Bromo ได้ชัดเจนค่ะ ห้องก็ใหญ่ กว้างดี มีร้านอาหารที่อร่อยมากๆ ราคาไม่แพงอยู่ ข้อเสีย Wifi ง่อยมาก มีก็เหมือนไม่มีต้องเดินหาเอากว่าจะเล่นได้จนถอดใจค่ะ พอจะกลับดันเล่นได้ซะอย่างนั้น เพื่อ?



ด้านหน้าที่พักวิวเป็นแบบนี้ เสียดายฝนตกดูฟ้าก่อน มืดมาก ทำร้ายจิตใจกันอีกแล้วถ้าพรุ่งนี้ฟ้าไม่เปิดถ่ายรูปงามๆ ไม่ได้ จะร้องไห้เลย 


ในหมู่บ้านนี้หากเดินก็จะเจออาหารพื้นเมือง เหมือนก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ บ้านเรา หาบขายไปทั่วหน้าตาประมาณนี้ รสชาติพอกินได้ไม่อร่อยแต่ไม่ได้แย่มากชามละ 20 กว่าบาท ถ้าจำไม่ผิด แต่คุยกับคนขายยากมากเพราะเขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ก็ชี้ๆ เอาละกัน 




เดินเล่นยามเย็นไปดูที่พักใกล้ๆ ที่นี่ค่อนข้างใหม่เลยล่ะ ห้องน่าพักชื่อ Bromo Permai1 เล่นระดับที่พักค่อนข้างดี ยังไม่เคยเห็นใครรีวิว 




ตี 3 รถจี๊ปมารับถึงที่พัก เราออกเดินทางเพื่อไปดูแสงแรกซึ่งพระอาทิตย์จะขึ้นเวลาตี 4 เราไปถึงก่อนเวลา ทอมมี่ชวนไปนั่งร้านชาแถวนั้น ดูบรรยากาศคึกคักมากเปิดเพลงแดนซ์ด้วยค่ะ ปลุกให้ตื่นได้ดีทีเดียว ราคาชา กาแฟ ไม่รู้เท่าไรเพราะทอมมี่เลี้ยงตลอด ที่นี่จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยใครจะซื้ออะไรให้ซื้อที่นี่เลยเพราะเราพลาดว่าคิดว่าจะเจอที่อื่นอีก 



ใกล้ได้เวลาพระอาทิตย์ขึ้น ทอมมี่สะกิดบอกว่าจะพาไปถ่ายทำเลดีคนไม่เยอะมาก จะเห็นวิวหมู่บ้านที่ถูกปกคลุมด้วยทะเลหมอก เราถึงกับว้าวกับความงามที่เห็นตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเป็นหมู่บ้านที่ทำเลดีมาก วิวสวย นี่เราขึ้นมาสูงเหมือนกันนะ หลังจากถ่ายรูปมุมนี้ได้เวลาไปถ่ายมุมมหาชนกันต่อ



มุมมหาชนก็คือมุมนี้เลยค่ะ เกาะขอบรั้วยิงกันรัวๆ ไปเลย เสียดายอีกแล้วที่ลมแรงมากๆ ฟ้าก็ไม่ค่อยเปิดจึงได้ภาพแบบจบหลังกล้องสีประมาณนี้เลยค่ะ Bromo ความสวยงามในแต่ละวันต่างกันค่ะแล้วแต่ฟ้าจะเป็นใจ ขึ้นอยู่กับดวงเหมือนกันนะ


ทอมมี่บอกว่ายูๆ ไม่ต้องไปถ่ายมุมนั้นหรอกคนเยอะ ลงไปข้างล่างดีกว่า มุมด้านล่างไม่มีคนค่ะ เลือกสถานที่ปักหลักขาต้องกล้องกันเลย ถ้าได้เลนส์Tele สักตัวคงจะฟินมากๆ พูดเลย ยืนมองจากมุมนี้แล้วจำไว้ให้ดีนะคะ อีกสักครู่เราจะพาทุกท่านไปยืนอยู่บนปากปล่อง Bromo ที่มีควันลูกนั้นเลย




เรานั่งรถจี๊ปไปต่อ คนขับซิ่งพอสมควรเลย นั่งไปแป๊บเดียว ความรู้สึกตอนนั้นเพลงประกอบหนังเรื่อง เราสองสามคน ดังขึ้นมาในใจภาพหนังเรื่องนั้นก็ลอยเข้ามา เรากำลังคิดว่าเราถ่ายเอ็มวีอยู่ 555 บ้าไปแล้ว รถจี๊ปหลายร้อยคันสีสันสวยงาม จอดเรียงเป็นระเบียบตัดกับท้องฟ้าและหุบเขา กดชัตเตอร์สนุกมาก


ลงจากรถแล้วต้องเดินต่อ แต่คุณจะรู้สึกเป็นซุปตาร์ทันทีเมื่อคนและม้าต่างเดินมาหาและบอกว่า ขี่ฉันมั้ย ใครอยากเดินก็เดิน ใครอยากขี่ม้าก็จ่ายไปราคาประมาณ 80,000- 100,000 Rp.ไป-กลับ คำนวณเป็นเงินไทยกันเอาเองนะคะ (แพงอยู่นะ) เรามาทั้งทีก็ขอเดินชิลล์ถ่ายรูปไปเรื่อยๆดีกว่า มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะเลยวันนั้นท้องฟ้าเป็นใจมากๆ 




ทอมมี่พาเดินคนละทางกับคนอื่นเลย เรียกว่าท้าทายสุดๆ วันที่ไปคนเยอะมากๆ เห็นแล้วมึนค่ะ 



จะมีทางขึ้นแบบเป็นบันไดแต่คนแน่นมาก แนะนำว่าเดินด้านข้างแบบทางขวามือก็ได้ ซึ่งพวกเราก็ไปทางนั้นค่ะ เร็วกว่าเยอะ 


ถึงแล้วปากปล่อง กำมะถันแรงและควันแสบตามากๆ 



ทางเดินก็แคบหวาดเสียวเหมือนกันนะ ลองมองลงไปด้านล่างยังจุดแรกที่รถจิ๊ปจอด เลนส์ซูมได้แค่นี้จริงๆ 




จากรูปเรียงกันเลยค่ะ จุดแรกที่รถจี๊ปจอด วัดที่เราเดินผ่าน ซึ่งก็ไกลอยู่เหมือนกัน มองไปแบบนี้แล้วหวาดเสียว


ได้เวลาลงแล้วสิ อย่างที่บอกว่าจะลงทางบันไดคนก็แน่น ทอมมี่บอกยูๆ ตามไอมาโลด เราจะสไลด์ลง 55 สนุกและตื่นเต้นมาก ที่สำคัญรองเท้าเราพัง!!


ใครอยากได้ประสบการณ์ใหม่แนะนำให้ลอกเลียนแบบค่ะ 


ลงมาข้างล่างขี้เกียจเดินแล้วสิ รองเท้าพังด้วย ขอขี่ม้าสวยๆ รอบนี้มีทริคเล็กน้อย คือให้ลงมาสายหน่อยแล้วก็ต่อราคาไปเลยค่ะ เราต่อเหลือ 15,000 Rp. ถือว่าถูกมากเลยได้ขี่ม้าสบายๆ จริงๆ เราต้องไปดูทุ่งหญ้าสะวันนาด้วย แต่ทอมมี่บอกว่าไฟเพิ่งไหม้หมดไปดูก็เหลือแต่ตอดำๆ เสียใจอีกแล้ว T_T ซึ่งถ้าไม่ได้ไปดูทอมมี่น่าจะลดราคาให้นะ ? 


ยืมรูปทุ่งหญ้าสะวันนาตอนที่ยังเขียวๆ จากคุณ tounka มาให้ดูกัน




ขากลับเราแวะที่สุดท้ายคือน้ำตก Madakaripura Waterfall เป็นน้ำตกที่ต้องใส่เสื้อกันฝนเข้าไปดู เพราะไม่อย่างนั้นมีเปียกแน่นอน เสื้อกันฝนมีขายพร้อมรองเท้าแตะ เดินเข้าไปด้านในสุดจะเป็นน้ำตกลงรูปที่สวยงามมาก


หลังจากนั้นเราก็นั่งรถกันยาวๆ เพื่อกลับไปสุราบายา นอนค้าง 1 คืน เดินเล่นในเมืองและตอนเช้าทอมมี่ก็มารับไปที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปจาร์การ์ตาและต่อเครื่องกลับดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ ทริปนี้ประทับใจทอมมี่มากๆ มีน้ำใจ ดูแลพวกเราอย่างดี ใครไปแนะนำเลยค่ะไม่ผิดหวังติดต่อผ่านอีเมลได้เลย

สรุปค่าเสียหายทริปนี้

1.ค่าทัวร์คนละ 5200 บาท (รวมรถพร้อมคนขับ + น้ำมัน +ที่พัก 3 คืน + ไกด์ท้องถิ่น)
2.ค่าภาษีสนามบินสุราบายา 300,000 Rp. (ไป-กลับ) 
3.ค่าภาษีสนามบินจาร์การ์ตา 80,000 Rp. (ไป-กลับ)3.ค่าอาหารทั้งทริปคนละ 1,000 บาท (มีกินหรู+เบียร์ด้วยนะ)
4.ค่าจิปาถะ เช่น ค่าเข้าห้องน้ำครั้งละ 1,000 Rp. ค่าน้ำดื่มขวดละ 1,000 Rp.ค่าขนมกินเล่น ค่ารองเท้าแตะetc.

รวม 8,000 – 9,000 บาท ราคานี้ยังไม่รวมค่าของฝากและราคาตั๋วเครื่องบิน 

**ถ้าไม่ต้องต่อเครื่องจะประหยัดอีกเยอะมาก 

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ไปง่าย ค่าเงินถูก ไม่ต้องขอวีซ่าถือแค่พาสปอร์ตเล่มเดียวก็บินได้ เป็นทริปที่น่าจดจำแนะนำหากมีโอกาสควรไป Bromoสักครั้ง แล้วคุณจะตกหลุมรักหมู่บ้านในสายหมอกแห่งนี้



เรียบเรียงโดย BlackPearl






Information

OPEN

- ไม่พบข้อมูล

TEL

- ไม่พบข้อมูล

PRICE

- ไม่พบข้อมูล

ADDRESS

- ไม่พบข้อมูล

FACILITIES

- ไม่พบข้อมูล

CONTACT

- ไม่พบข้อมูล

SHARE

share

#hashtag

RELATED