เซย์ฮายยยค่ะทู๊กคนนนน~~ จะวันนี้หรือวันไหน ก็เป็นวันดีๆที่ต้องออกไปเที่ยว จังหวะนี้เลยมีทริปแบบหนึ่งวัน ไปกิน!! ดื่ม!! เที่ยว!! ครบสเต็ป แบบมันสส์ มันส์ กับ “ตะลุยหัวลำโพง ย่านโกงกาลเวลาาาาาาาาาาา”
เวลาทำอะไรก็ต้องมี จุด เริ่ม ต้น เพราะฉะนั้น ในทริปนี้ เราจะมาStartกันที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง โอ้งงง..โอ้งง..โอ้ง..โอ้..โอ..โ...แค่ก!แค่ก! (เฮ้อ!เอ็กโค่จนเสียงหาย)
ด้วยความที่สถานีรถไฟแห่งนี้ ถูกสร้างตั้งแต่สมัยร.5 สถาปัตยกรรมต่างๆ ตั้งแต่ราวบันได รูปแบบอาคาร หน้าต่าง ประตู กระจก บลาๆๆๆสารพัดสิ่ง จะมีการผสมผสานกับศิลปะเรเนซองซ์ของฝรั่งเศสเข้าไปด้วย
ในส่วนเค้าโครงสถานีรถไฟImportมาจากเมืองนอกเชียวนะ! โดยมีสถานีรถไฟแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมันนีเป็นต้นแบบ เผื่อจะไม่เชื่อกัน..เอ้า!แปะรูปเทียบกันชัดๆไปเลย!!!
สถานีรถไฟแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมันนี (ที่มาhttps://pxhere.com/th/photo/1273842 )
สถานีรถไฟหัวลำโพง ประเทศไทย
สถานีรถไฟแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมันนี (ที่มา https://pxhere.com/th/photo/862054)
สถานีรถไฟหัวลำโพง ประเทศไทย
จะมีอาคารหลังหนึ่งตั้งอยู่คู่กับสถานีรถไฟแห่งนี้มานาน เดิมเป็นโรงแรมราชธานี มองดีๆ สัดส่วนและโครงสร้างอาคารค่อนข้างประณีต ซึ่งนักออกแบบเป็น สถาปนิกชาวอิตาลี (Mr. A Rigassi) ประจวบกับสีของอาคารเก่าๆ เลยทำให้เรารู้สึกว่าผ่านเรื่องราวต่างๆมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบันที่อาคารนี้ถือเป็นสำนักงานของการรถไฟ
ด้วยความคลาสสิกและเก่า แก่ เก๋ เราสามารถมาเดินเล่นหรือถ่ายรูปชิลๆที่นี่ได้เลยนะ (แต่ในส่วนของพวกอาคารด้านในควรขอเจ้าหน้าที่ก่อนนะคะ ขอเตือนก่อนโดนรวบ!!!)
กราบขอวอนไว้อย่าเพิ่งเบื่อกันไป เพราะหลังจากนี้ จะเริ่มเล่าทริปของจริงแล้วนะ!!
เริ่มต้นที่แรกกันเล้ยที่...
พิพิธภัณฑ์รถไฟ
เปิดประตูเข้าไป แอร์เย็นๆก็ปะทะเข้ากับร่างกายทำให้รู้สึกคูลลิ่งฟีเว่อร์สุดๆ ต่างจากอากาศข้างนอกลิบลับ!!!! (ก็รู้ๆกันอยู่อากาศเมืองไทย)
ข้างใน เราก็จะเจอกับคุณลุงสำเนียง คนเก่าคนแก่ที่อยู่ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มาอย่างยาวนาน...
สิ่งหนึ่งที่ต้องสะดุดตาแน่นอน คือ เมื่อเราเปิดประตูเข้ามา เราจะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของร.5และ ร.6 บนรูปขวามือ ส่วนซ้ายมือเป็นรูปพระอนุสาวรีย์ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ผู้ว่าการรถไฟคนแรกของประเทศไทยนี่เอง …
เมื่อเดินสำรวจตรวจดูให้ทั่ว สายตาก็ดันไปป๊ะกับบันไดลึกลับ เลยหันไปถามคุณลุงด้วยท่าทีอ้อนวอน เพราะต่อมความอยากรู้มันทำงานเต็มที่!! ลุงก็ตอบยิ้มๆว่า ขึ้นไปได้ เย้!เลยจ้าทีนี้
ลุงเอื้อมมือไปเปิดไฟทางเดินขึ้นบันได ทางก็เลยสว่างพรึ่บ!! ปรากฏภาพและกรอบรูปที่แปะตั๋วเก่าๆ ซึ่งมีสีสันต่างกันไป แปะเรียงรายไปจนสุดทาง
คุณลุงพูดเสริมอีกว่า ตั๋วเหล่านี้ได้มาจากนักสะสมของเก่า แล้วนำมาบริจาคให้กับทางพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ลูกๆหลานๆได้ศึกษาดูสืบไป(โห้ยย...ซึ้งน้ำตาจิไหล)
เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นสอง สายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่บนริมผนังโน้นนน กับภาพวาดสไตล์เก่าๆของศิลปินสมัยก่อนและโดดเด่นด้วยสีสันฉูดฉาดฝาดตาแตกโป๊ะ! (คุณลุงบอกว่าวาดขึ้นเมื่อปี 2508 หู้ววววว~)
เพ่งดูใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าภาพวาดสื่ออารมณ์ได้สมจริงแบบไม่มีแสตนอิน!! แค่มองยังรู้สึกเจ็บแทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นภาพไว้เตือนใจผู้คนให้ระมัดระวังได้ดีมากๆ
หมุนตัวกลับมา 360องศา ซ้ายมือจะเจอโซฟาตัวยาวที่ถูกกั้นไว้ จึงเอียงหัวมองด้วยความสงสัยใคร่รู้สุดๆ
เสียงคุณลุงลอยขึ้นมาอัตโนมัติว่า โซฟาตัวนี้เคยเป็นโซฟาประทับของ ร.6จากบริเวณหน้าสนามกอล์ฟรถไฟ
ในใจก็ร้องอ๋อดังๆ พร้อมพยักหน้ารับรู้ แล้วหางตาก็เลื่อนไปทางด้านซ้ายพอดี เจอโต๊ะไม้สมัยก่อน เก้าอี้เก่าแต่ดูดี โคมไฟหรูหรา และโครงหน้าต่างของรถไฟสมัยนู้นน แล้วคุณลุงก็พูดขึ้นว่า เป็นการจำลองโต๊ะเก้าอี้ที่ให้บริการในรถไฟสมัยก่อนนั่นแหละ
นอกจากนี้ ข้างบนก็มีตู้เก็บของสะสมโบราณไว้อีกสองตู้ ส่วนใหญ่จะเป็นของเก่าๆที่เกี่ยวข้องกับรถไฟ
รู้สึกว่าจะรีบขึ้นมาข้างบนเร็วไปหน่อย ขอไปสำรวจข้างล่างต่อดีกว่า
เมื่อเดินลงมาข้างล่าง ก็พบวัตถุสีเขียวสองชิ้นตั้งห่างกันคืบหนึ่ง
คุณลุงบอกว่า เป็น “เครื่องตราทางสะดวก” ไว้ใช้ติดต่อสื่อสาร เวลาใช้ต้องหย่อนลูกกลมๆไว้ด้วย พูดเสร็จก็กดแป้นยาวๆที่ยื่นออกมา เสียงดัง เตร้งงง!!!!
ทีนี้ก็สนุกเลยจ้ะ ไปยืนกดเล่นสักหน่อย เตร้งง!! เตร้งงง!!! เตร้งงงงงง!!!!
อ้ะ! ตรงนี้มี ระฆังด้วย ก็เลยเข้าไปเขย่าสักทีนึง เป้งงงง!!
อ้อ!! ใครอยากทราบข้อมูลของสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วรถ เครื่องตราทางสะดวกและอื่นๆ ก็จะมี QRcodeให้สแกนดูข้อมูลอีกด้วยนะ (ในส่วนของน้องคนนี้ ก็ได้แสกนเก็บลิ้งค์ข้อมูลมาฝากผู้อ่านกันด้วยล่ะค่ะ จิ้มเลย!
ข้อมูลตั๋วรถไฟเก่า: http://intranet.railway.co.th/Foundation/Ticket_1.html
ข้อมูลเครื่องตราทางสะดวก: http://intranet.railway.co.th/Foundation/Blocking_System.html )
เหมือนจะเล่นสนุกเกินวัย คุณลุงเลยเบี่ยงเบนความสนใจ ชี้ให้ดูตราสัญลักษณ์ตราหนึ่ง ถ้าใครเห็นคงคุ้นตาคุ้นใจ
และนี่คือ ตราบุรฉัตร นั่นเองค่ะ เป็นตราของพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ผู้ว่าการรถไฟคนแรกของประเทศไทย ซึ่งมีติดตรานี้อยู่ทุกหัวขบวนรถไฟยังไงล่ะ! (ภาพนี้ถ่ายมาจากรถไฟนอกพิพิธภัณฑ์นะ)
เดินมาหน้าโต๊ะของคุณลุง ก็จะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ซิกเนเจอร์ตรงส่วนนี้น่าจะเป็นตั๋วรถไฟเก่าเนี่ยแหละจ้า ใบละ30บาทเท่านั้น!!! นอกนั้นก็จะเป็นพวกกระเป๋า เสื้อ แก้วน้ำ โปสการ์ด หรือแม้กระทั่งโครงเหล็กที่ตัดมาจากรางรถไฟแล้วทำเป็นแท่นทับกระดาษค่ะ
จู่ๆท้องไส้ก็ร้องโอ้กอ้าก โครกคราก เป็นสัญญาณว่า ออกไปหาอะไรกินเดี๋ยวนี้!!! เลยต้องบอกลาสวัสดีคุณลุงด่วนๆ
หากใครสนใจจะแวะมาเที่ยว พิพิธภัณฑ์รถไฟ หรือต้องมาขึ้นรถไฟที่หัวลำโพงก็แวะเดินมาดูได้ใกล้ๆ อยู่ในสถานีรถไฟหัวลำโพงเลย และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น!!! (เว้นก็แต่ซื้อของอะไรกลับไปด้วยอ่ะนะ)
พิกัด: เลขที่1 ถนนรองเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์: 0-2220-4195 , 0-2220-4182
Google Map: https://goo.gl/maps/NTfXRmxrEtp
Facebook: www.facebook.com/trftrm
เสียงท้องร้องกระซิบบอกให้ไปพิกัดแหล่งอาหาร จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก...
ร้านแดง ราชาหอยทอด
ไปง่ายๆแบบeasy easy เดินไปไงคะ!! มันจะยากอะไร แค่เดินมาเรื่อยๆเพียง500เมตรเท่านั้น ก็เจอร้านแดง ราชาหอยทอดแล้วจ๊ะ
เพราะร้านมีความฮิตติดท็อปเท็น คนก็จะเยอะไม่น้อยเลย ต้องรอโต๊ะว่าง โต๊ะไหนที่อ้างว้างให้พุ่งเข้าใส่ทันที!! เพราะช่วงเที่ยงมันแสนชุนละมุนวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่มาหาข้าวกินอ่ะนะ..
ระหว่างที่รอ ก็สอดส่องมองเข้าไปในร้าน จะเห็นว่า นอกจากมีหอยทอดแล้ว ก็มีร้านอื่นๆขายของอยู่ด้วย ทั้งก๋วยเตี๋ยว หรือผัดก๋วยเตี๋ยวก็มี
พอได้โต๊ะแล้วก็สั่งน้ำเก๊กฮวยมากินให้ชื่นใจ ขออวยก่อนว่า น้ำเก๊กฮวยอร่อยมากๆ รู้สึกได้ถึงความเป็นเก๊กฮวยแท้ๆ หอมกลิ่นหวานของเก๊กฮวย หวานไม่จกลิ้น จิบกันตาปลิ้นเลยทีเดียวประหนึ่งเบาหวานขึ้นหัวตา! (ติดใจมากๆ ล่าสุด สั่งมา5แก้ว!!!!! โอ้มายก็อดดด!!)
มัวแต่จิบเก๊กฮวย...อ่าว ห้วย!!! ลืมสั่งหอยทอด ว่าแล้วก็เดินไปสั่งหอยทอดทันที
มาถึงตรงที่เขาทอดหอยทอด ข้างๆกันนั้น จะมีกระดาษใส่ในกะละมังสแตนเลสไว้ หยิบขึ้นมาเขียนได้เลย กินกรอบกินนิ่มก็เขียนบอกไป ที่สำคัญอย่าลืมเขียนเลขโต๊ะด้วยนะ
เขียนเสร็จแล้ว ก็ยื่นให้พี่ๆที่ร้านได้เลยจ้า (ว่าแล้วก็กลับไปจิบเก๊กฮวยต่อ)
และแล้ววว หอยทอดก็มาเสิร์ฟถึงที่ แทแด้นนนนน!~
เพิ่มสีสันให้กับหอยทอดของเรา ด้วยการราดซอสพริกให้ทั่ว~
ทีนี้ก็ ตักเข้าปากไปเล้ยยย งั่ม~
โดยปกติเป็นคนชอบทานแบบกรอบๆ แล้วพอได้ลองกิน คือ มันกรอบสมใจสุดๆ! อีกความโดดเด่น คือ แป้งที่ใช้ทอด มันไม่เลี่ยน มีรสชาติของแป้งหน่อยๆ และตัวแป้งเนียนหมด! ไม่เป็นก้อนให้สากลิ้นด้วยนะ ฟินสุดๆ
กินไปยิ้มไป บ้าดีแท้เหลือเกิ้น!!
มากันได้ ราคาสุภาพชนคนดีมาก!!! ณ ร้านแดง ราชาหอยทอดเปิดร้านทุกวัน ตั้งแต่ 9.00น.-14.00น. ปิดแค่วันเสาร์สุดท้ายของเดือนเท่านั้น อีกอย่าง คือ ร้านนี้รับจัดงานนอกสถานที่ด้วยนะ โทรไปได้เลย
ขอแปะพิกัดร้านฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทู๊กคนนนน
พิกัด: ร้านแดงราชาหอยทอด(ทรงวาดเจ้าเก่า) 432 ซอยสุกร1 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100
Google Map: https://goo.gl/maps/Gp2NqpUBdky
โทรศัพท์: 02-211-1985 , 02-001-1112 , 081-345-2466(คุณออย) , 081-409-3906 (คุณแดง)
Facebook : แดงราชาหอยทอด
แล้วก็มาถึงพิกัดที่สาม...
ซุ้มประตูโอเดียน
กินจนจานไร้คราบน้ำมัน ก็พร้อมเดินตะลุยคุยโวต่อแล้ว จากร้านหอยทอด เดินไปยังซุ้มประตูโอเดียนก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ระยะทางสั้นกว่าหัวลำโพงเดินมาร้านหอยทอดอีกจ้า (อันนี้ประมาณ100กว่าเมตรเอง)
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอวัดไตรมิตรตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านขวามือของเรา ใครผ่านมาแล้วอยากจะเข้าไปกราบไหว้ขอพรเพื่อความสิริมงคลกับตัวเองก็ย่อมได้
เดินผ่านวัดมาแค่ ก้าว-ชิด-ก้าว ก็ถึงที่หมายของเราซะแล้ววว กับซุ้มประตูสีแดงอันโดดเด่นกลางวงเวียน
ซุ้มประตูโอเดียน ตั้งอยู่กลางถนน3สาย ทั้ง ถนนเยาวราช (เปรียบเสมือนหัวมังกรและเป็นหัวถนนเยาวราชด้วย) ถนนมิตรภาพไทย-จีนและถนนเจริญกรุง
ลำดับแรกเลย เมื่อเดินขึ้นบันไดมาสองสามขั้น จะมีสิงโตหยกขาวสองตัว อยู่ริมทางด้านซ้ายและด้านขวา
ด้านขวา คือ สิงโตตัวผู้ ใต้อุ้งเท้าเหยียบลูกแก้วไว้อยู่ ราวกับว่า สิงโตนั่นได้กุมอำนาจบารมีไว้
ด้านซ้าย คือ สิงโตตัวเมีย ใต้อุ้งเท้าเหยียบลูกสิงโตตัวน้อยไว้ ราวกับว่า ลูกหลานที่อยู่ในโอวาทของผู้ให้กำเนิด
จะมาถ่ายรูปอย่างเดียวมันได้ซะที่ไหนล่ะ!!! มาจุดนี้ทั้งที ก็ต้องสักการะขอพรกันมั่งล่ะ! อ้ะๆ ตามอั้วะมาสิ
ซึ่งวิธีสักการะก็คือ เหยียบบนแผ่นทอง แล้วให้นึกถึงคุณงามความดีที่เราจะทำพร้อมยกมือไหว้ 8ทิศ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า การมายืน ณ จุดๆนี้ คือ การรับพลังชีวิตนั่นเองค่ะ
รู้วิธีการสักการะแล้ว จะไม่รู้ความหมายต่างๆได้อย่างไร!!! น้องสาวคนนี้เลยเก็บเกร็ดความรู้และความเชื่อบางอย่างมาฝากทุกคนด้วยล่ะค่ะ อิอิ
และจุดที่เราเหยียบแผ่นทองนั้น สลักภาษาจีนเอาไว้ คือ คำว่า “ตี้” แปลว่า ดิน สังเกตข้างๆมุมสี่มุมบนแผ่นทอง จะเป็นรูปต้นไผ่ ภาษาจีนแต้จิ๋วอ่านว่า “เต็ก” หมายถึง คุณธรรม
แล้วถ้าแหงนหน้ามองขึ้นไปตรงกันนั้น คือ แผ่นสีทองเช่นเดียวกัน สลักคำว่า “เทียน” ที่แปลว่า ฟ้า สังเกตดีๆจะมีรูปค้างคาว ภาษาจีนกลาง เรียกว่า “ฟู่” อยู่สี่มุมของแผ่นทอง หมายถึง โชคลาภ
บอกเลยว่า การสร้างซุ้มประตูแห่งนี้ มีความหมายเป็นมงคลทุกสัดทุกส่วนประกอบจริงๆ และถ้าใครอยากอ่านข้อมูลของซุ้มประตูแห่งนี้ จะมีแผ่นหินจารึกบันทึกไว้อยู่รอบๆ
หลังจากขอพรขอพลังชีวิตเรียบร้อยแล้ว ขอถ่ายภาพเก็บไว้หน่อยยยนะ แชะ!!!
สำหรับใครที่จะมาแวะถ่ายรูปที่ซุ้มประตูโอเดียนแห่งนี้ แอดแนะนำ ช่วงเวลาตั้งแต่บ่ายสี่เป็นต้นไป รถจะไม่ค่อยมี แสงดี สีแดงของซุ้มเปล่งประกายเลิศ!สุดๆเลยค่ะ
พิกัด: ระว่างถนนเจริญกรุง ถนนเยาวราช และถนนมิตรภาพไทย-จีน กรุงเทพฯ
Google: https://goo.gl/maps/NB8hK6Mk9Ev
รู้สึกเหมือนจะได้รับพลังชีวิตมาแบบเต็มๆ แต่รู้สึกกระเพาะมันไม่เต็ม!!! คงต้องหาอะไรเติมสักหน่อยแล้ววว
มาจัดสักหน่อยกับพิกัดถัดไป ได้แก่
โอเดียน บะหมี่เกี๊ยวปู
จากโอเดียน เดินมาไม่ไกลเลยจ้ะ 100เมตรกว่าๆเช่นกัน เดินมาจนกว่าจะเจอคนลวกบะหมี่อยู่หน้าร้าน แบบนี้ไง!
เจอแล้ว ก็เดินเข้าประตูกระจกข้างๆเลยจ๊ะ เข้ามาไม่ต้องกลัวว่ามันจะอบอ้ะ อ้ะ อ้ะอ้าว เพราะร้านติดแอร์ไว้ สบายสุดๆ เข้ามาก็จิ้มเมนูสั่งเลยจ้าพี่
มาแล้วต้องสั่งกินคือ บะหมี่เกี๊ยวก้ามปูหรูหรา เมนูเด็ดSignatureของร้านเลยค่ะคุณขา ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไปตามปริมาณของเนื้อปูค่ะ
ของกินเล่นอีกอย่างที่ใครมาก็ต้องสั่ง!! เกี๊ยวกุ้งทอดนั้นเองค่ะ
สั่งเสียเสร็จล้ะ เอ้ยยยย!! ไม่ใช่!!! สั่งเสร็จล้ะก็นั่งรอเพียงแปปเดียว อาหารก็พร้อมเสิร์ฟจ้า มาที่จานแรก บะหมี่หะหรูหะหราาาของเฮาา เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปร้อนๆ
วี้ดดดดดด!! ดูก้ามปูนั่นสิฮ้ะคุณผู้ชม เนื้อแน่นเหมือนกล้ามหนุ่มข้างบ้านไหม!!!! (แต่ด้วยความที่น้องกำตังมาน้อยนิดดด กล้ามเลยฟีบไปเยอะ แหะๆ)
บอกเลยว่า ต้องควักวิชาจากวัดเส้าหลินมาใช้กันเลยทีเดียว กับการคีบตะเกียบยังไงให้แน่นมือ! แล้วโซ้ยเข้าปากให้ไว! ก็แน่ล่ะ บะหมี่ชามเดียว แต่มีหลายชีวี๊ตตต! ก้ามปูนั้นต้องเป็นของน้อง!!
พักรบบะหมี่สักแปป เกี๊ยวทอดกรอบก็พร้อมเสิร์ฟ ต้องขอตอบเลยว่าเริศมากเว่ออ!! ให้จานนี้ที่หนึ่งในใจจากบรรดาเกี๊ยวทอดที่เคยกินมาเลยล่ะค่ะ
น้องขออวย เกี๊ยวนี้ดีจริงๆ เคี้ยวแล้วฟินไปถึงโลกหน้าเลยอ่ะ!
ด้วยความที่ชอบกินของทานเล่น ขอรีวิวให้เห็นไส้เกี๊ยวนิดนุง(พึ่งระลึกได้ตอนกินใกล้หมด)
เห็นไส้แน่นๆนี้ไหมคะ!!!! ไส้แน่นดุดันสุดๆ อดใจไม่ไหวจริงๆ รีบปาดน้ำจิ้มบ้วยแล้วยัดเข้าปากทันที กร๊วบบบบบ!!(เสียงกัดเกี๊ยวนะฮ้ะ ไม่ใช่กระดูกหัก)
อีกหนึ่งเมนูที่สั่งมาคือ ข้าวผัดปู รสชาติข้าวผัดก็กลมกล่อมใช้ได้ โอเคให้ผ่านอยู่!!
สำหรับใครที่อยากมาที่ร้านโอเดียน มาได้ตลอดเลยค่ะ ร้านเปิดตั้งแต่8.30น.-20.00น. ปิดแค่วันอังคารที่สอง และวันอังคารที่สี่ของแต่ละเดือนเท่านั้น!
พิกัด: โอเดียน เจ้าเก่าเยาวราช 724 ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100
ติดต่อ: 086-888-2341,084-703-4042
Google Map: https://goo.gl/maps/TXBBvmiyZRE2
Facebook: โอเดียน บะหมี่เกี๊ยว
มีของคาว แล้วก็ต้องมีของหวาน (สันดานไพร่ ตึ่งโป๊ะ!)
เดินทางกันต่อที่พิกัดนี้ นั้นก็คือ
ร้านลอดช่องสิงคโปร์
เกริ่นก่อนว่าร้านนี้ มีร้านเดียว สาขาเดียว ไม่มีเฟรนชายส์นะจ๊ะ แล้วที่สำคัญ!! ไม่ได้ Importลอดช่องมาจากสิงคโปร์นะ แต่ที่ชื่อร้านเป็นแบบนี้ เพราะ แต่เดิมร้านอยู่ตรงโรงหนังชื่อว่าสิงคโปร์ต่างหากเล่าา!!
จากร้านโอเดียนก็เดินมาไม่ไกล ตรงมาเรื่อยๆ ข้ามทางเข้าซอยระหว่างตึกแถว เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านทันที หาที่นั่งเลยจ้า
ในขณะที่ก้นยังไม่ทันได้แตะเก้าอี้ ก็มีพนักงานมาถามว่า “กี่แก้วครับ?” เลยตอบไปรัวๆเลยว่า “สี่แก้วค้าบเพ่!” (ดูหน้าพนักงานสิฮ้ะ พร้อมจู่โจมลูกค้าสุด )
ผ่านไปไม่ถึงนาที...... ฟรึ่บบบบ! ฟรึ่บบบบ! ฟรึ่บบบบบ! ฟรึ่บบบบ! แก้วลอดช่องทั้งสี่ก็มาสถิต ณ ตรงหน้าทันใด
ไม่ต้องกลัวว่ากินหวานแล้วจะแสบคอ เพราะเขามีน้ำเปล่าเสิร์ฟให้ด้วยวิธีการกิน คือ ใช้ช้อนจ้วงน้ำกะทิ เส้นลอดช่องและน้ำแข็งเข้าด้วยกัน แล้วก็ตักเข้าปากไปเลย!! อ้ะ อ้ามม~
โออิชิเดส! ถึงกับต้องอุทานออกมาเป็นภาษาต่างชาติ เพราะ รสชาติน้ำลอดช่องไม่หวานมาก มีกลิ่นขนุนและเนื้อขนุนที่หอมหวาน เส้นลอดช่องนี้ตัวดีเลย อร่อยกร้าวใจมากๆ เส้นสีเขียวใส เคี้ยวแล้วมันส์ปากมันส์ฟัน (แต่กินเยอะจะไขมันสสส์นะจ๊ะ แหะๆ)
อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่เหมือนใคร คือ เกล็ดน้ำแข็งขนาดเล็กพอดี ที่ซึมซับน้ำลอดช่องได้เข้ากัน ประหนึ่งกินบิงซูน้ำแข็งใสฉบับไทยแลนด์เลยล่ะค่าา
อ้ะๆ ชนแก้วววหน่อยหน่อยเด้ เป้งงงง!!!
ฟัดกันไปสี่แก้ว คุ้มค่าคุ้มราคาสุดๆ จะสั่งกลับบ้านหรือทานนี่ก็ 25 บาทเท่ากัน ใครจะแวะก็มาได้ตลอด ร้านเปิด 10.30น. - 21.30 น. แต่อย่าหลงมาทุกวันพฤหัสบดีนะ เพราะร้านหยุด!!!
พิกัด: 680-682 ถนนเจริญกรุง สามแยกหมอมี เขต/แขวงสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100
Google Map: https://goo.gl/maps/gYC5mEsQG9A2
ติดต่อ: 02-2215794
Facebook: ลอดช่องสิงคโปร์ (Facebook.com/lodchongsg)
ทั้งของคาวและของหวานน้ำตาลเพียบ!! ต้องกำจัดให้เรียบด้วยน้ำสมุนไพรจีน!!
ดังนั้น พิกัดปิดท้ายของเรา ก็คื้ออออ..... แท่นแท้นนนนนนน!!
ร้านคั้นกี่ น้ำเต้าทอง
เดินจากร้านลอดช่องไปไม่กี่ก้าวเอง ก็ถึงที่หมาย...
เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างมากถึงมากที่สุด สำหรับคนที่มาร้านนี้ครั้งแรก..
ก็ไม่รู้ว่าตื่นเต้นเพราะกลัวหรือว่าดีใจที่จะได้ลิ้มลองตำนานของร้านนี้ ถึงแล้วก็เดินเข้าไปแบบไม่ต้องกลัว.. อย่ามัวลังเล หยิบขึ้นมาเลยสองแก้ว เดี๋ยวค่อยจ่ายตังทีหลัง
และแล้วน้ำในตำนาน100กว่าปี ก็มาอยู่ในเงื้อมมือของข้าพเจ้า สีเหลืองนั้น คือ น้ำสูตรหวาน8เซียน ส่วนสีเข้มๆนั้น คือ น้ำสูตรขม24เซียน!!
จู่ๆสมองก็ระลึกถึงสุภาษิตหวานเป็นลมขมเป็นยาขึ้นมาทันที เพราะแก้วที่น้องได้หยิบนั่น คือ น้ำขมไงพี่!!!!
รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง~ แต่ขอกลั้นหายใจสักแปป..ว่าแล้วก็กระดกซดในทันใด!!
เอี้อกกก!~~~ ความขมแล่นปรี๊ดเข้าสู่เส้นประสาท ซึมซาบไปทั่วช่องปาก พี่สาวที่ยืนข้างๆยังไม่ทันได้แตะดื่มน้ำหวาน น้องก็ขอคว้ามาดื่มดับขมซะก่อน
ขอบอกเลยว่า ขนาดกินน้ำหวานไปหลายอึก ความขมก็ยังคงอยู่(เหมือนความเจ็บที่ยังอยู่ในใจ พ่าม!)
แม้จะขม(ขื่น) เราก็สามารถให้อภัยได้ เพราะมันคือ ยาชั้นดีนี่เอง เพราะนำมาจากสมุนไพร 24 ชนิด มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง อู้ววว้าว ไม่แปลกใจเลย ที่อากงอาเจ็กอาม่าอาซ้ออาซิ่มจะมีอายุยืนยาว...
ใครกินเสร็จแล้วก็คว่ำแก้วให้ด้วยเน้อ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
นอกจากนี้ ยังมีน้ำอื่นๆให้เราเลือกดื่มด้วยนะ หรือใครอยากจะต้มดื่มเองที่บ้าน ก็มีจำหน่ายเป็นซองๆในกล่องจ้า ดื่มที่ร้านแก้วละ10บาท ถ้าซื้อกลับบ้านมีจำหน่ายเป็นขวด ขวดละ30 บาทเท่านั้น
ใครมาเที่ยวย่านนี้ แต่ไม่แวะมาร้านคั้นกี่คือพลาดสุดๆ!
พิกัด: แยกหมอมี ตรงข้ามธนาคารยูโอบี ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ
Google Map: https://goo.gl/maps/JXiU2geCpr42
ติดต่อ: 02-437-0131-2(สำนักงานใหญ่)
Facebook: Kankee Namtaothong
อ้ะๆ หากใครยังรู้สึกไม่สะใจ รอตะลุยย่านเยาวราชตอนค่ำๆได้นะ ของกินเพียบ!
อยากจะเคลียก่อนจะจบรีวิว สงสัยกันไหมคะว่า ทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า “ย่านโกงกาลเวลา”.......
….....นั่นเป็นเพราะว่า การที่โลกหมุน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไป เฉกเช่น สถานที่บางสถานที่มีความเก่าแก่ไปตามกาลเวลา แต่ยังอยู่ยงคงกระพันมาอย่างยาวนาน
ถึงจะเก่าไปหน่อย เปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม ความคลาสสิก ความดั้งเดิม ความแท้และความต้นตำรับบางอย่าง มิใช่เพียงสถานที่เท่านั้น....แต่หมายถึง ทุกสรรพสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิน.......ที่ยังคงความอร่อย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดื่ม.......ที่ยังคงคุณภาพ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเที่ยว....ที่ยังคงรอยประวัติศาสตร์และความสนุก
สุดท้ายนี้ ขอฝากผลงานรีวิวนี้ไว้ในอ้อมอก ชอบก็แชร์ไปให้โลกรู้ สวัสดีค่าาาาาาาาาาาาาาาาา~~~