นานๆ ทีคนทำงานเยอะๆ อย่างพวกเราจะมีวันว่างกับเค้าบ้าง พอมีวันหยุด 2 วัน แต่ละคนก็ผุดไอเดียกันกระฉูด อีกคนอยากเที่ยวธรรมชาติ อยากเห็นทุ่งนาเขียวๆ อีกคนอยากเที่ยวแบบบ้านๆ แนวสโลว์ไลฟ์ อีกคนอยากเที่ยวฟาร์ม อีกคนอยากนั่งรถไฟ แต่เป็นเพราะเวลามีน้อย จะขึ้นเหนือ ลงใต้ เวลาก็คงไม่พอ เลยเป็นที่มาของทริปสั้นๆ ของพวกเรา กับการนั่งรถไฟไปลพบุรี
เหตุผลง่ายๆ ที่ไปลพบุรี เพราะสามารถเดินทางโดยรถไฟ มีวิวทุ่งนาสีเขียวๆ มีฟาร์มสเตย์ด้วยนะเออ ขี่ม้าก็มี เก๋ป่ะล่ะในฐานะพี่ใหญ่เลยอาสาพาเที่ยว ลพบุรี บ้านเกิดเราเอง จุดหมายของพวกเราในทริปนี้ คือ การนั่งรถไฟ ลงที่สถานีลพบุรี แวะไหว้ศาลพระกาฬ เที่ยวพระปรางค์สามยอด ถ่ายรูปสตรีทอาร์ต แวะร้าน ผัดไทยบุรี แวะจิบกาแฟออร์แกนิกที่ร้านจันทร์เจ้า แล้วไปทำกิจกรรมที่ วัลลภาฟาร์ม ฟาร์มสเตย์แบบบ้านๆ ที่เราจะได้ขี่ม้า นั่งรถอีแต๋นชมทุ่ง นั่งรถม้าไปไหว้พระ ทำไข่เค็มดินสอพอง ทำสบู่ เรียนรู้วิธีการเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักและการทำนา
จุดแรกของพวกเรานัดกันที่ สถานีรถไฟ หลักสี่และดอนเมือง ไปกัน 6 คน แม้ว่าตอนเช้าของการเดินทางวันแรก จะมีฝนจะตกพรำๆ แต่ก็คิดซะว่า ฝนมาช่วยสร้างบรรยากาศละกัน
พวกเรานั่งรถไฟ ชั้น 2 ขบวน 111 กรุงเทพ-เด่นชัย (ราคาตั๋ว 85 บาท) เพราะจะได้นั่งด้วยกันแบบไม่ต้องลุ้น แต่พอช่วงคนว่างๆ ก็ไปเดินไปนั่งถ่ายรูปเล่นที่ขบวนรถไฟชั้น 3
ระหว่างการนั่งรถไฟ นอกจากจะมีผู้โดยสารขึ้นลงแต่ละสถานีแล้ว ยังมีพ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของ ผู้โดยสารที่ร่วมขบวนไปกับเรามีทั้งคนไทยและต่างชาติที่แบ็คแพ็คมาเที่ยวเมืองไทย
การเดินทางวันธรรมดาก็ดีแบบนี้ละ คนไม่เยอะ แถมยังอากาศดี พอฝนหยุด อากาศก็ไม่ร้อน ธรรมชาติในช่วงหน้าฝนแบบนี้ มันดีต่อใจจริงๆ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งนาสีเขียวๆ สดชื่นๆ
พอถึง สถานีรถไฟชุมทางบ้านภาชี (อยุธยา) ก็มีแม่ค้านำไอติมถ้วยเล็กๆ มาขาย ถ้วยละ 5 บาท พวกเราก็เลย อุดหนุนป้าซะหน่อย
จากนั้น ก็ถ่ายรูปเล่นกันไป
คงจะพอดูออกว่า เพื่อนร่วมทริปเราชิลล์ขนาดไหน
ถึงแล้ว สถานีรถไฟ ลพบุรี ใช้เวลาเดินทางจากสถานีกรุงเทพ 2.42 ชั่วโมง แต่รู้สึกเหมือน แป๊บเดียวเอง
สืบเนื่องจากตอนเช้าก่อนขึ้นรถไฟ นัดกันตั้งแต่เช้า กินหมูปิ้งรองท้องกันมา พอถึงสถานีรถไฟ ลพบุรี ปุ๊บก็กลัวน้องๆ จะหิว ร้านแรกของทริปนี้ ก็เลยตรงไปที่ร้านผัดไทยบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกล จากสถานีรถไฟ
เราตั้งใจว่าจะยืมรถที่บ้านมาใช้ แล้วขับรถเที่ยวกัน ระหว่างรอให้พี่ขับรถมาให้ เลยพาน้องๆ นั่งรถสามล้อปั่น ไปรอที่ร้านผัดไทยบุรี (คลาสสิกป่ะละ) ค่ารถสามล้อ 20 บาท นั่งได้ 2 คน
ร้านผัดไทยบุรี นับว่าเป็นร้านดังประจำจังหวัด ที่นี่เด่นเรื่องผัดไทยสไตล์ฟิวชั่น แรกๆ เน้นเมนูผัดไทย แต่ก็ค่อยๆ เพิ่มเมนูใหม่ๆ ทั้งเมนูผัดกะเพรา ข้าวไข่ข้น และยำที่รสชาติจี๊ดจ๊าด ขนม เครื่องดื่มก็มี วัตถุดิบก็คัดสรรมาเป็นอย่างดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลูกค้าแน่นร้านตั้งแต่ยังไม่เที่ยง แถมยังตกแต่งร้านใหม่ น่านั่งเชียว
เติมพลังเสร็จ ก็เที่ยงกว่าๆ ...รถพร้อมแล้ว ป่ะ ไปเที่ยวกัน...
ก่อนมุ่งหน้าไปที่วัลลภาฟาร์ม มีคนรีเควสร้านกาแฟ ก็เลยนึกถึงร้านจันทร์เจ้าร้านนี้เพื่อนแนะนำมา เพื่อนบอกว่า เค้าเจ๋งตรงที่ เลือกใช้เมล็ดกาแฟอย่างดี ทำขนมปังเอง ปลูกข้าวเองด้วย ร้านอยู่ที่ โครงการ Great Avenue หลังโรงเรียนอนุบาลลพบุรี
จิบกาแฟกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาไปมุ่งหน้าไปที่ วัลลภาฟาร์ม ระยะทางจากตัวเมือง ไปยัง วัลลภาฟาร์ม ประมาณ 14 กิโลเมตร จากวงเวียนสระแก้ว ขับรถไปทางถนนสายคันคลองมุ่งหน้าไปทางบ้านหมี่ สังเกตสี่แยกไฟแดง บริเวณสำนักชลประทานที่ 10 พอข้ามสะพานแล้วเลี้ยวขวา ขับรถต่อไปอีกไม่ไกล วัลลภาฟาร์มอยู่ทางด้านซ้ายมือ
ถึงแล้ว....วัลลภาฟาร์ม...ที่นี่เกิดจากการที่คุณพ่อ รักการขี่ม้า แล้วส่งต่อมาถึงลูกๆ จากนั้นก็เลี้ยงม้าอย่างจริงจัง ตั้งเป็นฟาร์มแล้วให้คนมาท่องเที่ยว และยังมี อาชาบำบัด ให้เด็กๆ ได้ฝึกสมาธิบนหลังม้า เป็นประโยชน์สำหรับเด็กสมาธิสั้น และเด็กพิเศษ
พอดีว่าช่วงที่เราไปวัลลภาฟาร์มเพิ่งออกรายการเปรี้ยวปาก ก็เลยมีลูกค้ามาพักเต็มแทบทุกห้อง ตอนแรกที่เล็งๆ ไว้ว่าจะนอนบ้านไม้ริมน้ำ ก็เลยเปลี่ยนไปนอนที่ห้องนอนใหญ่แทน
แต่จะว่าไป ห้องนอนรวม ช่างเหมาะกับการมาเป็นแก๊งอย่างพวกเราจริงๆ พักได้ 6 คน พอดีเป๊ะ หลังจากเก็บของจับจองพื้นที่กันเรียบร้อย ก็เริ่มทำกิจกรรมกันเลย เริ่มจากการเดินเล่นชมธรรมชาติท้องทุ่งนา ขี่ม้า นั่งรถอีแต๋นชมทุ่ง
ระหว่างเดินเล่นในฟาร์ม ก็จะมีน้องหมา คอยเดินตาม แต่ละตัวเฟรนด์ลี่ กระดิกหางดุ๊กดิ๊กๆ น่ารักจัง
นี่คือ บรรยากาศหลังฟาร์ม มีทิวเขา ทุ่งนาเขียวๆ และฝูงควาย (คลาสสิกสุดๆ) ใครชอบเที่ยวเชิงเกษตร ชอบเที่ยวธรรมชาติ แนะนำเลย รับรองว่าจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์กันอย่างเต็มปอด
นอกจากแก๊งเราแล้ว ยังมีครอบครัวที่ขับรถมาจากกรุงเทพฯ ดูสิ คุณแม่และคุณลูก กำลังหัดขี่ม้าอยู่พอดี สองหนุ่มน้อยดูจะชอบขี่ม้ามากเป็นพิเศษ พวกเขามาที่นี่เป็นรอบที่สอง ท่าทางว่าจะติดใจ
จากนั้นก็ถึงคิวพวกเราบ้างละ...แรกๆ สองสาว ก็ดูเกร็งๆ แต่สักพักก็ออกอาการดี๊ด๊า อย่างที่เห็น
ขี่ม้าเสร็จก็ไปนั่งรถอีแต๋นชมทุ่ง
การได้นั่งรถอีแต๋นแบบนี้ มันก็จะชิลล์ๆ หน่อย จะเที่ยวบ้านทุ่งทั้งทีก็ต้องให้ครบรสแบบนี้ละ >< เราเชื่อว่า บรรยากาศแบบนี้หลายคนอาจจะยังไม่เคยสัมผัส ต้องมาลองดูสักครั้งนะคะ สนุกดีเหมือนกัน
แล้วก็ถึงเวลาของ อาหารมื้อเย็น
เมนูอาหาร จัดมาชุดใหญ่ ทั้ง น้ำพริกปลาทู,ไก่คั่วเกลือ,ต้มข่าไก่,พะแนงหมู,ปลาสามรส,เห็ดทอด,ข้าวคลุกกะปิ,น้ำมะพร้าวปั่น
ตั้งใจว่าจะดื่มด่ำกับบรรยากาศท้องทุ่งซะหน่อย แต่ก็นะ ถ่ายรูปยังไม่ทันเสร็จ ฝนก็ตกลงมา...ฝนจ๋า...ตกให้พอเลยจ้า ตอนเช้าไม่ต้องตกแล้วนะ พรุ่งนี้พี่จะไปเที่ยว
DAY 2
วันที่สอง ตื่นกันตั้งแต่เช้า ลุ้นกับฟ้าฝนนิดหน่อย โอเค ทางสะดวก ฝนหยุดตก แล้ว เย้ๆ
เช้านี้มีนัดนั่งรถม้าไปไหว้พระ ที่พำนักสงฆ์บวรบรรพต (ศาลาแดง) ระหว่างทางก็จะมีวิวสวยๆ ให้เห็นแบบนี้ แถมอากาศเย็นสบายสุดๆ นี่ถ้ามาหน้าหนาวคงมีหมอกด้วย แค่คิดก็ชิลล์แล้วล่ะ
การนั่งรถม้าไป-กลับ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที อากาศก็กำลังดี สาวๆ เลยชอบกันใหญ่
ก่อนกินอาหารเช้า แวะเก็บไข่ไก่ในเล้า แวะดูฟาร์มเห็ด และแปลงผักสวนครัวที่ปลูกอยู่ใกล้ๆ กัน
...มะม่วงบนต้นก็ยั่วใจซะเหลือเกิน....ถ้าอยู่นานกว่านี้ จะขอเก็บลงมาจิ้มกะปิหวานซะเลย
และนี่คือ อาหารของเช้าพวกเรา ข้าวต้มหมูใส่เห็ดที่ปลูกเองในฟาร์ม (ที่เราไปเดินเล่นเมื่อกี้)
ปกติ กระต่ายจะค่อนข้างหวงตัวไม่ยอมให้จับ แต่เจ้ากระต่ายน้อยสองตัวนี้เฟรนด์ลี่สุดๆ แต่ได้เล่นกันแป๊บเดียวเอง
วันนั้นมีน้องๆ มาทัศนศึกษาพอดี เราเลยขอแจมการทำสบู่และการทำไข่เค็มดินสอพองกับน้องๆ ซะเลยไข่เค็มดินสอพอง เป็นของฝากประจำจังหวัดลพบุรี ที่นี่ก็เลยสอนวิธีการทำแบบง่ายๆ ให้เด็กๆ ถือติดมือกลับบ้าน (ทำจริงกินได้จริงๆ)
ที่นี่ ไม่ได้มีแค่กิจกรรมฟาร์มสเตย์อย่างเดียว แต่ยังเปิดเป็นโซนร้านอาหาร และคาเฟ่ ให้ได้แวะมาจิบกาแฟกันด้วย ก่อนกลับสายหวานอย่างพวกเราเลยไม่พลาดที่จะสั่ง ชา กาแฟ เค้ก มากินด้วยกัน
เผลอแป๊บเดียว ได้เวลาไปเข้าเมือง ไปเที่ยวต่อ เราจะไปไหว้ศาลพระกาฬ เที่ยวพระปรางค์สามยอด และถ่ายรูปที่สตรีทอาร์ตกัน แต่น้องเรายังชิลล์ๆ อยู่เลย ท่าทางจะอยากอยู่เที่ยวต่อ
ก่อนกลับ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันสักหน่อยต้องขอบคุณเต้ เจ้าของฟาร์ม กับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น เป็นกันเองสุดๆ คุณเต้ ฝากบอกว่า เสน่ห์ของการขี่ม้า คือ การฝึกให้เรามีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน และยังได้ชมธรรมชาติ ถ้าใครที่ยังไม่เคยขี่ม้า ต้องมาลองดูสักครั้ง นะคะ แล้วจะรู้ว่าการขี่ม้า ไม่ยากอย่างที่คิดและนี่คือ แลนด์มาร์คของวัลลภาฟาร์ม ที่ใครๆ มาก็ต้องแวะมาเก็บภาพ
ถ้าใครสนใจเที่ยวฟาร์มสเตย์ชิลล์ๆ แบบพวกเรา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : วัลลภาฟาร์ม
วัลลภาฟาร์ม
ที่อยู่ : ต.เขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี
โทร. 08 2717 5633
ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เปิดทุกวัน 07.00-20.00 น.
ที่พัก : ราคาเริ่มต้นที่ 650 บาท ห้องพักรวม 6 คน ราคา 1,400 บาท
ขี่ม้า สำหรับเด็ก ราคาเริ่มต้น 15 นาที 150 บาท 30 นาที 300 บาท
นอกจากที่นี่จะเดินทางโดยรถยนต์แล้ว ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟได้ด้วย เพียงติดต่อที่ฟาร์มล่วงหน้า ลงรถไฟที่สถานีโคกกระเทียม ที่ฟาร์มก็จะมีรถไปรับ
สามารถโทร.จองห้องพักได้โดยตรง และจองผ่านhttps://www.booking.com/hotel/th/wanlapa-farmstay.th.html
เราออกเดินทางจาก วัลลภาฟาร์ม ช่วงสายๆ จะว่าไปก็ใกล้ๆ เที่ยง ก่อนเข้าเมือง แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านล้วน ร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า ขบส. บริเวณวงเวียนสระแก้ว
จากนั้นมุ่งหน้าเข้าเมือง แวะไหว้ ศาลพระกาฬ เดินเที่ยวชมพระปรางค์สามยอด ต่อด้วยสตรีทอาร์ต 3 สถานที่นี้ สามารถเดินถึงกันได้เลย ใกล้กันแค่มีถนนกั้นเท่านั้นเอง
การเที่ยวชมพระปรางค์สามยอด จะมีน้องลิงออกมาทักทาย สำหรับใครที่เคยกลัว รับรองเลยว่า คุณจะลืมภาพเหล่านั้นไปเลย ลิงลพบุรี ใจดี ขี้เล่น (จริงๆ นะ)นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มนี้ ดูท่าทางจะสนุกกับการถ่ายรูปกับเจ้าลิงน้อย ^_^และที่ขาดไม่ได้ คือ สตรีทอาร์ต ซึ่งอยู่ด้านหลังพระปรางค์สามยอด หลังโรงหนัง มาลัยรามา (เดิม) สตรีทอาร์ตจะขนานไปกับทางรถไฟ ถ่ายรูปไป ก็มีรถไฟก็วิ่งผ่าน
และนี่คือ ทริป 2 วัน 1 คืนของพวกเรา เป็นทริปสั้นๆ กับการท่องเที่ยวโดยรถไฟ เที่ยวฟาร์มสเตย์ แวะชิมร้านอาหาร ร้านกาแฟ แวะเที่ยวตามจุดต่างๆ ในลพบุรี แม้จะพาน้องๆ เที่ยวได้ไม่ครบ แต่ทุกคนก็น่าจะได้ความชิลล์ๆ กลับไป ขากลับพวกเราเดินทางโดยรถตู้ ซึ่งวินรถตู้ KOก็อยู่ตรงข้ามกับศาลพระกาฬ และสถานีรถไฟ นั่นเอง เดินทางง่าย ไม่ต้องรอนาน ค่ารถคนละ 120 บาท
ที่จริงแล้วการมาเที่ยวลพบุรีด้วยรถสาธารณะ มาง่ายมากๆ ทั้งการเดินทางโดยรถไฟและวินรถตู้ แม้จะไม่มีรถส่วนตัวก็ไม่ใช่ปัญหา แค่ก้าวเท้าลงจากรถก็สามารถเดินไปสักการะ ศาลพระกาฬ พระปรางค์สามยอดสตรีทอาร์ต วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ปรางค์แขก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ (วังนารายณ์)โบราณสถานคู่บ้านคู่เมือง ที่พักในเมืองก็มีหลายที่ ตลาดสด คาเฟ่ ร้านอาหาร ทุกๆ อย่างในเมืองสามารถเดินเที่ยวได้สบายๆ ใครที่ยังไม่เคยมาเที่ยวลพบุรีก็อย่าลืมหาโอกาสมาเที่ยวกันนะคะ เมืองแห่งโบราณสถานแห่งนี้มีที่เที่ยวและมุมถ่ายภาพไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ แน่นอนค่ะ