เที่ยวญี่ปุ่นแนวใหม่ สวยจับใจไม่ซ้ำใครแน่นอน ...
EDTguide พาบินลัดฟ้าเที่ยวคิวชู เกาะทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความสงบ ธรรมชาติ ทะเล ภูเขา ศาลเจ้า ออนเซ็น แหล่งช้อปปิ้งก็มีดีงาม! ... ทริปนี้เราจะพาไปเปิดหูเปิดตาเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ไม่ซ้ำใคร รวบตึง 3 จังหวัด โออิตะ Oita / คุมาโมโตะ (Kumamoto) / นางาซากิ Nagasaki กิน ดื่ม เที่ยวฟินๆ 5 วัน 4 คืน
การเดินทางในคิวชูแนะนำให้เช่ารถขับจะสะดวกที่สุดในสามโลก เช่าจากสนามบินฟุกุโอกะหรือเอเจนซี่ก็ได้หมด ราคาก็ขึ้นอยู่กับขนาดของรถ ค่าเช่าสำหรับ 5 วัน ประมาณ 30,000 เยน (8,000-9,000 บาท) ส่วนน้ำมันที่ญี่ปุ่นลิตละ 115 เยน แพงเหมือนกันนะเนี่ย (ลิตรละ 37 บาท) แต่ถ้าไปหลายๆ คนหารกันก็คุ้มค่า แถมไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา การขับรถเที่ยวภูมิภาคนี้ได้เปรียบเรื่องวิวว้าวๆ แปลกตาระหว่างทาง เพราะวิ่งตัดผ่านภูเขาสูง อีกอย่างการเดินทางโดยรถสาธารณะยังไม่ครอบคลุมบางสถานที่ โดนใจที่เรากำลังจะไปด้วยน๊าา ...
DAY 1
ทานอาหารหรูในวัด - ดูปลาโลมา - แต่งกิโมโนเดินเล่นเมืองซามูไร - นอนหลับฝันดีที่ฟาร์มสเตย์
08.00 น. เราก็มาถึงสนามบินฟุกุโอกะ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกับอากาศเย็นสบาย 11 - 12 องศา รับกระเป๋าสัมภาระเสร็จสรรพ เราก็ทำการเช่ารถจากสนามบินเลยหรือจะจองผ่านเอเจนซี่ล่วงหน้ามาก่อนก็ได้ (ใช้ใบขับขี่สากล) โชคดีที่รถญี่ปุ่นพวงมาลัยฝั่งเดียวกับบ้านเรา ก่อนขับขี่ก็ต้องศีกษากฏจราจรของญี่ปุ่นให้แน่นนะจ๊ะ ... อ่อ รถที่นี่หยุดให้คนข้ามก่อนเสมอน๊าา ไม่ว่าจะไฟเขี้ยวไฟแดง
เมื่อกายพร้อม ใจพร้อม ก็เปิด Maps ขับรถมุ่งหน้าไปที่ จังหวัดโออิตะ (Oita) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่แรกของวันนี้ เราจะไปทานอาหารเจภายในวัดนิกายเซน ย่านปราสาทเก่า เมืองอูซูกิ Usuki
Seigetu-an เป็นร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่น เสิร์ฟอาหารเจ จากฝีมือพระที่ผ่านการฝึกฝนทำอาหารมานานกว่า 60 ปี จนได้รับรางวัลมิชลินสตาร์
อาหารที่นี่จะมีให้เลือก 3 เซ็ต ส่วนเราสั่งเซ็ตเล็กสุดมาราคา 1,940 เยน ทำเป็นเล่นกินแทบไม่หมด เครื่องเคียงแน่นไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้ มันทอด ผักดอง และจานเด็ดขึ้นชื่อคือ เต้าหู้งา ที่มีรสชาติหวานนุ่ม หอมกลิ่นงา
จากเมือง Usuki เราจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำริมทะเล Tsukumi Dolphin Island หรือเกาะปลาโลมานั่นเอง ไปดูโชว์ปลาโลมาแสนรู้ โดดดิ้น แถมเฟรนลี่สุดๆ ปลาโลมาที่นี่ตัวใหญ่กว่าบ้านเรามาก ในหน้าร้อนสามารถลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลาโลมาได้ด้วยนะ
หลังโชว์จบก็ไปต่อคิวขอถ่ายรูปหรือสัมผัสตัวน้องโลมาได้ จากที่ลองจับดูผิวน้องโลมาคล้ายห่วงยาง ไม่ลื่นอย่างที่คิด นอกจากปลาโลมา ก็มีเพนกวิน สิงโตทะเลให้ชมกันด้วย ราคาค่าเข้าชม คนละ 1,000 เยน
ขับรถไปต่อที่ เมืองคิสึกิ (Kitsuki Waraku-en) หรือเมืองซามูไร แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่างมากของจังหวัดโออิตะ (Oita)
ไฮไลท์ของที่นี่คือการแต่งชุดกิโมโน เดินชมเมืองเก่าแก่ของเหล่าซามูไร สำหรับค่าเช่าชุดกิโมโน 1 วัน ราคา 3,000 เยน แถมยังได้รับส่วนลดและเข้าชมสถานที่วัฒนธรรมฟรี เมื่อใส่ชุดกิโมโนไปรับประทานอาหารหรือเข้าชมบ้านซามูไรในเมืองด้วยนะ
จากคิสึกิ (Kitsuki Waraku-en) ขับรถประมาณ 40 นาที มาพักที่ฟาร์มสเตย์บ้านของคนญี่ปุ่นแท้ๆ ในเมืองอาจิมุ Ajimu Farm House - Tama chan no Engawa แพ็คเกต 1 คืน อาหาร 2 มื้อพร้อมกิจกรรม ราคาคนละ 9,000 เยน หรือประมาณ 3,000 บาทไทย ราคานี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
หลังจากเก็บกระเป๋า เราก็มาพร้อมกันที่ห้องครัว เห็นอาหารบนโต๊ะที่ถูกเตรียมไว้แล้วต้องร้อง อู้วหู้วว! ... ละลานตาแถมยังน่ากินสุดๆ ความอร่อยส่งตรงจากปลายจวักของคุณป้าไซโต้ ทามากะ แม่บ้านชาวญี่ปุ่นอายุ 70 ปี
เมนูหลักๆ ก็จะเป็นข้าว ซุปสาหร่าย ของทอด ปลาดิบ ไข่ตุ๋น เนื้อวัว สลัดผัก ผลไม้ เรียกได้ว่าคุณป้าจัดเต็ม!
บ้านของคุณป้าไซโต้ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์ญี่ปุ่นแบ่งเป็น ห้องนั่งเล่น ห้องทานข้าวและห้องครัว กั้นด้วยฉากบานเลื่อน หลังจากทานมื้อค่ำเรียบร้อย คุณป้าก็จะมาปูที่นอนให้เรา เป็นที่นอนแบบฟูกปูกับพื้นได้ฟิลสุดๆ
ใครที่อยากมาพักบ้านคนญี่ปุ่นแบบนี้ต้องติดต่อกลุ่ม Green tourist ของจังหวัดโออิตะ Oita >>> http://www.ajimu-gt.jp/page0102.html ซึ่งก็จะมีฟาร์มสเตย์ที่ได้มาตรฐานกว่า 70 หลังคาเรือน ก็แล้วแต่ว่าเราจะถูกส่งไปที่บ้านของใครหรือจะรีเควสไปเลยก็ได้ว่าอยากนอนบ้านไหน
DAY 2
ศาลเจ้าอุซะ - คาเฟ่บนเขา - ศาลเจ้าลึกลับ - เรียนทำโซบะ - ทำขนม - ดินเนอร์อาหารญี่ปุ่นฟิวชั่น - ช้อปปิ้ง
หลังมื้อเช้าเราก็ออกมาเก็บผักที่สวนหน้าบ้านของคุณป้าไซโต้ เนื่องจากว่าเป็นช่วงฤดูหนาวจึงไม่มีผักให้เก็บมากนัก
และแล้วก็ถึงเวลาต้องบอกลาคุณป้าและเจ้าค้อน หมาน้อยน่ารักที่เห็นหน้าเราแล้วเห่าตลอดเวลา 555+
มาญี่ปุ่นพลาดไม่ได้เลยคือการไปสักการะศาลเจ้าซึ่งจังหวัดโออิตะ (Oita) ก็มี ศาลเจ้าอุซะ (Usa Shrine) เป็นศาลเจ้าเพื่อบูชาเทพฮะชิแมน เทพแห่งการยิงธนูและสงคราม
ซึ่งการเดินเข้าศาลเจ้าก็มีวิธีนะจ๊ะ ไม่ใช่เดินดุ่มๆ เข้าไปเลยแบบที่เรามักทำกัน การเดินเข้าศาลเจ้าที่ถูกวิธีก็คือการยืนโค้งคำนับหนึ่งครั้งที่เสาโทริอิด้านใดด้านหนึ่งและก็เดินเข้าไป ไม่นิยมเดินตรงกลางเพราะเชื่อว่าเป็นทางเดินของเทพเจ้านั่นเองจ้า ... อ่ะ จำแล้วนำไปใช้จะได้ไม่โป๊ะเหมือนเรา -*-
หลังจากนั้นเราก็ขับรถขึ้นไปบนเขา อาโซะ (Aso) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ขอบอกว่าวิวระหว่างทางสวยมว๊ากก นี่ญี่ปุ่นหรือสวิตเซอร์แลนด์กันเนี่ย! อ่ะ ... ให้ภาพมันเล่าเรื่อง
ดูวิวเพลินๆ จนมาถึง Sala Carina คาเฟ่สไตล์อิตาเลี่ยน เป็นบ้านโรงนาแบบยุโรป ท่ามกลางป่าและภูเขาสวย บรรยากาศดีมาก
ภายในร้านตกแต่งอบอุ่นเรียบง่าย มีระเบียงด้านนอกไว้นั่งชมวิว เมนูของร้านนี้ก็จะเป็นอาหารอิตาเลี่ยน พิซซ่า สปาเก็ตตี้ จากฝีมือเชฟชาวญี่ปุ่น
ขับขึ้นเขาไปอีกนิดมาที่ศาลเจ้าลึกลับ คามิชิคิมิ คุมาโนอิมาสึ (Kamishikimi Kumanoimasu Shrine) ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าใหญ่ของ เมืองทาคาโมริ (Takamori) เมืองเล็กๆ ที่อยู่ในเขตอาโซะ (Aso) จังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) แค่ปากทางเข้า ก็เหมือนทะลุเข้าไปอีกมิติหนึ่ง ด้วยต้นไม้สูงที่รายล้อมชวนให้บรรยากาศของที่นี่ดูวังเวงแต่ก็สวยงาม
ซึ่งศาลเจ้าจริงๆ ต้องเดินเท้าเข้าไป 1 กิโลเมตร ด้วยความขี้เกียจขอป่วนเปี้ยนถ่ายรูปชิคๆ แถวหน้าประตูดีกว่า 555+
หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปเรียนทำโซบะที่ เมืองอาโซะ (Aso) ระหว่างทางก็จะวิ่งตัดผ่านภูเขาสูง และบ้านเรือน ไร่นา รู้สึกอิจฉาคนญี่ปุ่นที่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ แบบนี้จริงๆ
เราจะมาเรียนทำโซบะที่ คูกิโนะ โซบะ โดโจ (Kugino Soba Dojo) กับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น สนนราคา 2,300 เยน ต่อคน เริ่มจากการนวดแป้ง ไปจนถึงขั้นตอนการหั่นเส้น ซึ่งก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
พอทำเสร็จเราก็จะได้ทานเส้นโซบะที่เราทำเองด้วยนะ ที่นี่ถ้าไม่ได้มาเรียนก็มานั่งกินโซบะเฉยๆ ก็ได้นะคะ วิวดีงามซะด้วย
พอตอนเย็นเราก็มาเรียนทำขนมต่อที่ นางาฮาระ โชเก็ทสึโดะ (Nakahara Shogetsudo) ร้านขนมที่เปิดสอนทำขนมให้ผู้ที่สนใจ
เขาก็จะสอนเราปั้นขนมจากถั่วแดงบด เป็นรูปลูกพีชและผลส้ม มาดูกันว่าจะออกมาเป็นลูกพีชหรือลูกท้อ ปั้นตามคุณครูไปเรื่อยๆ ไม่ยากเลยชอบมากเพลินดี
เห้ย! ... ปั้นออกมาหน้าตาใช้ได้ เราก็มีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย ถึงจะไม่สวยเท่าคุณครูก็เถอะ 555+
จากนั้นขับรถเข้ามาที่ เมืองคุมาโมโตะ Kumamoto คืนนี้เราเข้าพักที่ Comfort Hotel โรงแรมที่อยู่ใจกลางย่านช้อปปิ้ง กิน ดื่ม ยามราตรี ขอบอกว่าโรงแรมนี้อยู่ใกล้ร้านดองกี้และร้านสะดวกซื้อด้วยนะ
เก็บของเสร็จเราก็เดินไปทานอาหารค่ำที่ ซากุระอัน (Sakura-an) ร้านอาหารที่โด่งดังในเรื่องของเนื้อม้า ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “Basashi” แต่เพราะสีเนื้อคล้ายซากุระก็เลยมีอีกชื่อว่า “เนื้อซากุระ” ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของเกาะคิวชู
แต่เราขอบายเพราะไม่กล้ากินเนื้อแปลกๆ เลยสั่งอาหารเซ็ตแบบ Dinner Course เป็นอาหารญี่ปุ่นฟิวชั่น มีทั้งปลาดิบ เนื้อวัว ชาบูญี่ปุ่น ซาบะมันฝรั่ง ขนมหวานต่างๆ หน้าตาน่าทาน ทั้งหมดนี่ราคา 4,000 เยน
จากนั้นก็ไปเดินย่อยที่ Shimodori - Kamidori แหล่งช้อปปิ้งที่มี ร้านค้า ร้านอาหาร อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเดินได้สบายๆ ย่านนี้ค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว
DAY 3
คิชิจิเอนฟาร์ม - ปราสาทคุมาโมโตะ - หมู่บ้านปลาคาร์พ - สถานีรถไฟริมทะเล - มื้อค่ำซีฟู้ด
เช้านี้ยังอยู่ที่จังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) เราจะไปเก็บผลไม้สดๆ ที่ คิชิจิเอน ฟาร์ม (Kichijien Farm) กันจ้า ที่นี่มีคาเฟ่ขายเครื่องดื่มและซอฟครีมรสผลไม้ด้วยน๊า
และคนที่จะพาเราเดินเก็บผลไม้ก็คือ คุณมาซาอากิ มาเอดะ เจ้าของสวนผลไม้แห่งนี้นี่เอง ในฤดูหนาวนี้ก็จะมีแอปเปิ้ล ส้ม และสตรอว์เบอร์รี ให้เก็บแบบบุฟเฟ่ต์ ภายในเวลา 50 นาที หยิบได้ไม่อั้นถ้าแบกกลับไหว 555+
ใครที่ชอบทานผลไม้และอยากลองเก็บผลไม้สดๆ จากต้นด้วยตัวเอง ราคาเริ่มตั้งแต่ 1,100 - 2,200 เยน ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้และฤดูกาลด้วยน๊าา ไปค่ะ ... หยิบตะกร้าแล้วลุยกันเลย!
จากนั้นเราก็ไปเยี่ยมชม ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle Josaien) ที่มีอายุราว 400 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการบูรณะซ่อมแซม เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหว ทำให้ตัวอาคารและกำแพงหินได้รับความเสียหายพังทลายลงมา
รอบๆ ปราสาทจะเหลืองอร่ามไปด้วยใบแปะก๊วยและใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี ปราสาทคุมาโมโต ยังถือเป็นหนึ่งในสถานที่ชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วยนะ ที่ไหนมีปราสาทที่นั่นมีซากุระ!
ใกล้กับตัวปราสาทจะมีโซนที่มีชื่อว่า Josaien บริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านขนม ของฝากขึ้นชื่อประจำจังหวัดคุมาโมโตะ อย่างเจ้า คุมะมง หมีดำแก้มแดง ที่เราคุ้นเคย 555+
และบริเวณลานกิจกรรมก็มีการแสดงโชว์ตีกลอง ฟันดาบจากเหล่าซามูไรให้ชมด้วยน๊าา
เดินมาอีกนิดก็มาเจอร้านขายมันทอดที่ข้างในสอดใส้ ไข่หอยเม่น น่าตาน่ากินขอลองชิมดูหน่อย กินร้อนๆ ระวังลวกปาก เห้ย! รสชาติดี หวานมัน กลมกล่อม
จากคุมาโมโตะ (Kumamoto) เราก็มาขึ้นเรือข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่ จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วที่สุดใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น จากปกติขับรถอ้อมเขากันราวๆ 2 ชั่วโมงเชียวนะ เป็นเรือเร็วขนาดมหึมาที่สามารถบรรทุกรถยนต์ได้หลายคันมีชื่อว่า Ocean Arrow จะแล่นพาเราไปลงที่ท่าเรือ เมืองชิมาบาระ (Shimabara) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki)
ภายในเรือก็จะมีที่โซฟาที่นั่ง กว้างขว้าง และกิจกรรมสนุกๆ บนเรือก็คือการให้อาหารนกนางนวลด้วยข้าวเกรียบ เพียงแค่ชูข้าวเกียบสูงๆ เหล่านกน้อยก็จะโฉบลงมาคาบไปกินง่ายๆ แถมบินเข้าคิวเป็นระเบียบซะด้วย
เรามาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือ เมืองชิมาบาระ (Shimabara) เป็นเมืองแห่งน้ำแร่ ที่ตั้งอยู่บนเนิน ภูเขาไฟอันเซ็น (Unzen) ที่ยังคงปะทุอยู่ ในเมืองนี้จะเต็มไปด้วยจุดที่มีน้ำผุดใสสะอาด มีทั้งน้ำพุร้อน และน้ำพุเย็น ซึ่งก็เป็นผลจากภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่นั่นเอง
สถานที่น่าสนใจของ เมืองชิมาบาระ (Shimabara) ที่ไม่ควรพลาดก็คือ Carp Swimming Street หรือหมู่บ้านปลาคาร์พ เราอาจจะเคยเห็นภาพปลาตามท่อระบายน้ำของญี่ปุ่นมาบ้างแล้ว คราวนี้เราจะมาดูให้เห็นกับตาว่ามีอยู่จริงหรือไม่?
หู้วว ... ท่อระบายน้ำใสและสะอาดมาก แถมมีฝูงปลาคาร์พแหวกว่ายสบายอุรา น้ำในท่อเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ไหลมาจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติ ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟหลายต่อหลายครั้งนั่นเอง
อีกสถานที่ที่น่าสนใจของย่าน Carp Swimming Street นี้ก็คือ Yusui Teien Shimeiso House เป็นของ คุณป้าโคอิดะ ที่ใจดีเปิดบ้านให้ชมสวนญี่ปุ่นโบราณ บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยเมจิ มีอายุกว่า 110 ปี เป็นบ้านที่มีบ่อน้ำล้อมรอบ ซึ่งน้ำในบ่อเป็นน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ภายในบ่อน้ำใสมีปลาคาร์พแหวกว่ายอยู่มากมาย บรรยากาศร่มรื่น นั่งอยู่ในบ้านหลังนี้จะรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
ตกเย็นเราไปถ่ายรูปชิคๆ ที่สถานีรถไฟริมทะเล Omisaki Station สถานีรถไฟที่ยังเปิดใช้งานแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ เนื่องจากเป็นสถานีรถไฟที่ห่างไกล แต่บรรยากาศโรแมนติกใช่เล่น!
จากนั้นก็ขับรถยาวๆ เข้าสู่ตัวเมืองนางาซากิ (Nagasaki) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ไปเช็คอินเก็บประเป๋าที่ Nagasaki Montorey Hotel โรงแรมเก๋ไก๋สไตล์โคโรเนียล
ค่ำคืนนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมาทานซีฟู้ดกันบ้างดีกว่า ก็ต้องมาที่นี่เลย Dejima Warf แหล่งรวมร้านอาหารทะเลสดๆ ที่หันหน้าออกสู่ท่าเรือนางาซากิ บรรยากาศเริ่ด รับลมทะเล กับเมนูใหม่ล่าสุดของนางาซากิ ปรุงจากปลา เป็นเซ็ตที่มีปลาทอดหน้าตาไม่เป็นมิตรสองตัว แต่ขอบอกรสชาติอร่อยเหาะ และก็ข้าวปั้น ปลาดิบ ที่ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าสด! ชามนี้เป็นปลาทะเลทอด ต้มมาในน้ำซุปสาหร่ายรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม มีกลิ่นหอม เนื้อปลาหวานอร่อย
จานนี้หน้าตาคล้ายทอดมัน แต่หารู้ไม่ว่ามันคือ เนื้อปลาวาฬทอด ใช่แล้วค่ะ ... รสชาติคล้ายเนื้อวัว แต่เหนียวกว่ามาก
DAY 4
เดินเที่ยวเมืองนางาซากิ - สะพานแว่นตา - พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ - แกะไข่มุก - เลม่อนสเต็ก - ย่านกินดื่มซาเซโบะ
เช้านี้เรามาเดินตามหาหัวใจใน เมืองแห่งความรักนางาซากิ (Nagasaki) ย่านการค้า เมืองเก่า และเเหล่งช้อปปิ้ง ที่มีผสมผสานหลากวัฒนธรรมทั้งจีน ญี่ปุ่นและโปรตุเกส
แลนด์มาร์คโรแมนติกโด่งดังในย่านนี้ก็คือ สะพานแว่นตา (Meganebashi Brigde) สร้างขึ้นเพื่อไว้ใช้ข้าม แม่น้ำนาคาจิมะ (Nakajima) และติด 1 ใน 3 สะพานหินที่ได้รับยกย่องว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่น มองไปในน้ำใสๆ ก็เจอปลาคาร์พแหวกว่ายอีกตามเคย
ใครที่มาถ่ายรูปที่สะพานแว่นตา อย่าลืมเล่นสนุกๆ ลองตามหา หินรูปหัวใจ ที่ซุกซ่อนอยู่บริเวณสะพานแห่งนี้ดูน๊า ...
ไปเดินเล่นต่อที่ย่านเมืองเก่า เป็นตรอกยาวๆ ที่มีร้านค้า ร้านขายของเรียงราย คนจะนิยมมาชิมขนมขึ้นชื่อและช้อปสินค้าพื้นเมือง
เดินเรื่อยๆ จนมาถึง Chinatown ก็อย่างที่บอกว่านางาซากิ เป็นเมืองที่มีหลากหลายวัฒนธรรมผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สภาพอาคารบ้านเรือนก็จะมีหลายบรรยากาศ
และที่ Chinatown ก็จะมีร้านอาหารจีนมากมาย เราจะมาทานเมนูยอดนิยมของนางาซากิ ชัมปง ราเม็งสไตล์จีน น้ำซุปกลมกล่อมเคี่ยวจากกระดูกไก่และหมู โปะหน้าด้วยผักและอาหารทะเล
จากนั้นเราก็ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ อุมิคิราระ (Umi Kirara Aquarium) ที่ คุจูคุชิมา เพริล์ ซี รีสอร์ท (Kujukushima Pearl Resort) ราคาค่าเข้าคนละ 1,400 เยน (รวมกิจกรรมแกะไข่มุก) มาที่นี่ทุกคนจะได้ลองแกะไข่มุกแท้ๆ จากท้องทะเล และนำกลับบ้านได้คนละ 1 ลูก หรือจะทำเป็นพวงกุญแจ สร้อยคอเก๋ๆ ก็จัดให้แต่มีค่าบริการเพิ่มนะจ๊ะ
เดินเข้ามาภายในก็จะเป็นอควาเรียมขนาดใหญ่ที่รวบรวมสัตว์แห่งท้องทะเลไว้มากมายหลากชนิด ทั้งเต่าทะเล ปลากระเบน ฉลาม โลมา ปลาปักเป้า และฝูงปลาสีสันสวยงาม
โซนที่อยากจะแนะนำและไม่ควรพลาดมากที่สุดคือ คุราเกะซิมโพนีโดม (Kurage Symphony Dome) โดมเลี้ยงแมงกะพรุนกว่า 100 ชนิด ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่พบในน่านน้ำของ Kujukishima และที่นี่ยังเป็นสถานที่แสดงโชว์แมงกะพรุนที่เยอะที่สุดในประเทศญี่ปุ่นด้วยน๊า
เห็นสวยๆ แบบนี้ นางมีพิษนะจะบอกให้!
และที่นี่ช่วงเย็นจะมีกิจกรรมนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน แต่วันนี้ฝนดันตกลงมาซะก่อนเลยอดไปจ้า ส่วนค่าล่องเรือราคา 1,400 เยน ต่อคน เป็นเรือโจรสลัดลำใหญ่คล้ายๆ เรือโจรสลัดในการ์ตูนเรื่องวันพีชเลยล่ะ
หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปที่ เมืองซาเซโบะ (Sasebo) อีกหนึ่งเมืองชื่อดังของจังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) ซึ่งเมืองนี้เป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกันทำให้ได้รับอิทธิพลจากอเมริกันพอสมควร คืนนี้เราพักกันที่ Sasebo Washinton Hotel โรงแรมหรูใจกลางเมือง ใกล้แหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิง
จากนั้นก็พากันเดินไปทานมื้อค่ำที่ Lemon Steak Restaurant Mon แค่เดินเข้ามาในร้านกลิ่นหอมหวนชวนหิวของเนื้อวัวก็แตะจมูกเข้าอย่างจัง!
และเมนูดังน่าโดนขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็คือ เลม่อนสเต็ก เป็นเมนูที่ได้รับอิทธิพลมาจากทหารอเมริกัน เนื้อวัวแร่บางๆ ย่างมาบนกระทะร้อนซู่ซ่า ราดด้วยโชยุกลิ่นเลม่อนสูตรพิเศษ เนื้อนุ่มละมุนเข้ากับรสชาติของซอสแนะนำให้กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยยกนิ้วให้เลย ส่วนค่าเสียหายมื้อนี้ ชุดละ 2,000 เยน เท่านั้นจ้า!
จากนั้นก็ไปตระเวนราตรีสัมผัสแสงสี เมืองซาเซโบะ (Sasebo) ที่นี่มีบาร์และร้านนั่งชิลล์เพียบ ถูกใจร้านไหนก็ย่างสามขุมไปสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาซดให้ชื่นใจได้เลย
เดินมาเรื่อยๆ จนมาเจอ G-Rock ร้านนี้สีสันถูกอกถูกใจแถมมีเครื่องดื่มให้เลือกเยอะ นั่งฟังเพลงเพลินๆ พร้อมทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
เมนูแนะนำ Superman เป็นเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ กลิ่นหอม รสหวานอร่อย ใหญ่มากถังเดียวดื่มได้ทั้งคืน 555+
มาต่อร้านที่ 2 Blooklyn Bar บาร์ชิลล์ๆ มีอาหารและเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟ บรรยากาศสบายๆ
ส่งท้ายค่ำคืนแห่งแสงสีด้วยน้ำผลไม้แสนอร่อย ...
DAY 5
Back To Thailand
หมดเวลาสนุกแล้วสิ! วันสุดท้ายต้องจำใจโบกมือลา ซาเซโบะ (Sasebo) เมืองที่มีกลิ่นอายของตะวันตกสูงมาก โดยเฉพาะอาหารการกิน และศาสนา เมืองชายทะเลที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากสไตล์ อยู่ระหว่างนางาซากิกับฟุกุโอกะ
ผจญภัยมาด้วยกันถึง 5 วัน ต้องบอกว่า คิวชู เป็นภูมิภาคที่มีครบทุกรสชาติ ทั้งธรรมชาติ ทะเล ภูเขา วัฒนธรรม และวิถีชนบท แม้กระทั่งวิถีคนเมืองแบบญี่ปุ่น จนอยากมาซ้ำอีกหลายๆ รอบ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นแนวทางเผื่อว่าใครสนใจอยากจะลองมาเที่ยวคิวชูแบบเราดูบ้าง ...