ในช่วงของการทำงานที่นอกจากจะยุ่งเป็นปกติแล้ว ยังมีอุปสรรคและปัญหามาให้แก้อยู่เสมอ หลังจากที่ผ่านมาเข้ามาในช่วงกลางปี ในวันที่น้องๆ อยากพักสมอง อยากหาที่พึ่งทางใจ เราก็เลยจัดทริปง่ายๆ แบบไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่ทำตัวให้ว่าง แล้วไปเที่ยวสิงห์บุรีกัน ขับรถจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว
สิงห์บุรีที่เคยเป็นแค่ทางผ่าน คราวนี้เราขอแวะมาเที่ยวแบบชิลล์ๆ นอนฟาร์มสเตย์ เที่ยวทุ่งนา เที่ยวตลาดย้อนยุค ชิมเมนูปลาแม่ลา กุ้งแม่น้ำ แวะไหว้พระวัดดัง นั่งมองทุ่งนาสีเขียวๆ สัมผัสอากาศดีๆ ไปชาร์จแบตให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมาสักนิดนึง
DAY 1
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนสายๆ รับรถเช่า AVIS ที่สนามบินดอนเมือง จากนั้นก็พร้อมลุยกันเลย...
ทริปนี้พวกเราเดินทางโดยใช้ถนนสายเอเซีย ทางหลวงหมายเลข 32 ตรงไปแบบยาวๆ แวะปั๊มกินกาแฟนิดหน่อย ที่หมายแรกก็คือ ร้านผัดไทยปากบาง สูตรเดิม ซึ่งอยู่เลยวัดอัมพวันไปไม่ไกล
ผัดไทยร้านนี้ เปิดมายาวนานกว่า 60 ปี อยู่หน้าตลาดปากบาง ตลาดเก่าแก่ในย่านนี้ เราแวะมาชิมผัดไทย สูตรเดิม ที่เค้าผัดแบบกระทะใหญ่ๆ ใส่ไข่เยอะๆ ผัดให้เข้ากันแบบแห้งๆ เส้นนุ่มๆ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี แต่ถ้าอยากปรุงเพิ่มก็มีมะนาวสดและถั่วงอกดิบเสิร์ฟคู่กันมา
ผัดไทยปากบาง สูตรเดิม ราคาเบาๆ จานละ 30 บาท เท่านั้น และยังมี ข้าวผัดกะเพรา, ก๋วยเตี๋ยว, ราดหน้า, ผัดซีอิ๊ว มีของฝากสิงห์บุรีให้เลือกซื้อกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นหมูทุบ, หมูแท่ง, หมูฝอย, หมูหยอง, กุนเชียงหมู, กุนเชียงปลา
แวะชิมผัดไทยพอหอมปากหอมคอ ซื้อหมูทุบที่เค้าทำสดๆ ใหม่ๆ และกุนเชียงปลาของฝากสิงห์บุรีติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ที่รีบซื้อไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพราะขากลับเราไม่ได้กลับทางนี้ ซื้อเลยละกันจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา
ตอนแรกก็กะว่าจะไปวัดไทรก่อน แต่น้องๆ รีเควสมาว่า มาแถวนี้ทั้งทีไม่แวะกุ้งเผาทองชุบหน่อยเหรอ เพื่อไม่เป็นการขัดศรัทธาเพื่อนร่วมทริป ก็เลยแวะกินกุ้งแม่น้ำเผา ก่อนเข้าที่พัก
แน่นอนว่า มาร้านนี้ต้องไม่พลาด กุ้งแม่น้ำเผา ตามมาด้วย ต้มยำปลาม้า ผัดฉ่าปลาคัง ทอดมันปลากราย และ แกงคั่วหอยขม จากที่จะตั้งใจแวะแป๊บเดียว ไปๆ มาๆ ก็นั่งกินข้าวกันแบบจริงจังมาก กินไปนั่งมองวิวแม่น้ำเจ้าพระยาไป ชิลล์ดีเหมือนกัน
ดูเหมือนจะเป็นการออกทริปที่กินกันจริงจังมาก วันแรกก็จัดไปสองร้านติดแถมจัดหนักซะด้วย อิ่มปุ๊บก็ได้เวลาเข้าที่พัก บ้านข้าวหอมฟาร์มสเตย์
เหตุผลที่เราเลือกที่นี่ เพราะอยากได้ที่พักวิวทุ่งนา โอ้โห! แค่ทางเข้าก็ได้ใจเราไปเต็มๆ ... เราขับรถผ่านทุ่งนาสีเขียวๆ ตลาดทาง เปิดกระจกขับรถ อากาศเย็นสบาย...แม้ระยะทางจากถนนใหญ่ไปถึงบ้านข้าวหอมประมาณ 10 กม.กว่าๆ แต่ความสดชื่นของทุ่งนาทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ไกลเลย
ถึงแล้ว บ้านข้าวหอมฟาร์มสเตย์
กิจกรรมที่บ้านข้ามหอมฟาร์มสเตย์ ก็คือ
- นอนบ้านเรือนไทย
- ปั่นจักรยานเที่ยวทุ่งนา
- ใส่บาตรหน้าบ้าน
- เรียนรู้ขั้นตอนการปลูกข้าวทั้งแบบข้าวธรรมดาและข้าวอินทรีย์
- เยี่ยมชมแปลงผักออร์แกนิก + ปลูกผักสลัด
- เยี่ยมชมโรงสีข้าว การแปรรูปข้าว และการแพ็คข้าวแบบสูญญากาศ สนใจแบบไหนก็แจ้งเจ้าของบ้านได้เลยที่พักของบ้านข้าวหอม มีให้เลือก 2 แบบ คือ ตัวเลือกแรกคือ นอนบ้านเรือนไทยของพี่สายพิน เจ้าของบ้าน (มีห้องแอร์) ส่วนตัวเลือกที่สอง คือ นอนบ้านสวน ที่สร้างเป็นบ้านเรือนไทยเรียงกันอยู่ 3 หลัง แต่บ้านสวนจะเป็นห้องพัดลม หลังจากที่ตกลงกันอยู่พักใหญ่ว่าจะนอนไหนดี สุดท้ายเจ้าของบ้านก็บอกให้เราไปนอนห้องแอร์เพราะสะดวกสบายกว่า
อาหารมื้อเย็น พี่สายพินจะเตรียมกับข้าวจัดใส่สำรับอย่างสวยงาม แม้จะเป็นกับข้าวง่ายๆ แต่รสชาติดี ยกนิ้วให้เลย! และที่แน่ๆ เราจะได้กินผักสดๆ ที่ปลูกไว้ในแปรง สดจริง! อะไรจริง! มะเขือเทศนี่เดินเด็ดกินยังได้เลย อาหารเย็นของวันนี้คือ มีชุดน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด, แกงส้ม, ต้มจืดกระดูกหมูใส่มะระ ไฮไลท์อยู่ที่ ข้าวสามสี ข้าวอินทรีย์แบรนด์บ้านข้าวหอม ที่ปลูกเองที่นี่!
DAY 2
รีบตื่นกันตั้งแต่เช้าไปปั่นจักรยาน สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ปลายนา เมื่อวานตอนเย็นเราไปรอบนึงแล้ว แต่ฟ้าปิดไม่ทันได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ตอนเช้าก็เลยมาแก้ตัวใหม่ แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นคือ หมอกจางๆ กับวิวสวยๆ ที่เกินกว่าคาดหมายจริงๆ นี่ขนาดเรามาช่วงหน้าฝน (ปลายเดือนมิถุนายน) ยังได้เห็นหมอก ถ้าเป็นหน้าหนาวคงมีหมอกออกมาอวดโฉมเยอะกว่านี้แน่
อาหารเช้าวันที่สอง เป็นข้าวต้มหมูง่ายๆ แต่รสชาติดีมากกก (หมูก็เยอะด้วย) และยังมีมะเขือเทศสดจากต้น ผักสลัด ผัดผักใส่ปลาแซลมอน, มะม่วงหาวมะนาวโห่แช่อิ่ม และเราก็เสริมด้วยกุนเชียงปลาที่ซื้อมา เมื่อเช้าไปขอยืมเตาในครัว ทอดมากินด้วยกันซะเลย
หลังจากกินข้าวต้มรองท้องเบาๆ จากนั้นก็ไปเที่ยวโรงงานแปรรูปข้าวแบบครบวงจร ที่นี่มีโรงสีขนาดย่อมๆ อยู่ในบ้าน ให้เราได้เข้าไปชมขั้นตอนการสีข้าวและการแพ็คข้าวด้วยสูญญากาศ หลักๆ แล้วที่นี่จะมีข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง และข้าวไรซ์เบอร์รี่ และยังมีข้าว 3 สีอยู่ในแพ็คเดียวกันด้วย ที่เหมาะกับการซื้อกลับไปเป็นของฝาก พวกเราก็ซื้อข้าวปลอดสารติดไม้ติดมือกันคนละถุงสองถุง
อาจจะเป็นเพราะใช้พลังงานในการปั่นจักรยานเยอะไปหน่อย พอกลับจากการแวะไปชมโรงงานสีข้าว หนุ่มน้อยประจำทริปก็หิวอีกรอบ โชคดีนะ ที่พกนิสชินคัพติดตัวมาด้วย ก็เลยไม่ต้องไปกวนเจ้าของบ้าน แค่กดน้ำร้อนรอแป๊บเดียวก็อิ่มอร่อยกันได้เลย แถมยังปิ๊งไอเดียใหม่ กินนิสชินคู่กับหมูทุบกับกุนเชียงปลาของดีเมืองสิงห์บุรีก็ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก #นิสชินกินกับอะไรก็อร่อย จริงๆ
กว่าจะได้ออกจากบ้านข้าวหอมก็ใกล้เที่ยง เมื่อวานหมดเวลาซะก่อน วันนี้เราเลยแวะไปเที่ยววัดไทร แล้วค่อยไปกินข้าวกลางวัน
วัดไทรเดิมเป็นวัดร้างที่มีต้นไทรล้อมรอบโบสถ์เอาไว้ เมื่อมีการบูรณะขึ้นมาใหม่จึงกลายเป็นสถานที่อันซีนของสิงห์บุรี ที่นี่ตั้งอยู่ริมน้ำ มีศาลาริมน้ำให้ได้นั่งรับลมชมวิวกันด้วย
ออกจากวัดไทร ขับรถต่อไปหาร้านเก๋ๆ ในเมืองกัน...มื้อกลางวัน...กว่าจะได้กินข้าวก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆ ตอนที่เห็นร้านนี้ครั้งแรกบอกเลยว่า สะดุดตากับการตกแต่งร้าน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีร้านสวยๆ แบบนี้ซ่อนตัวอยู่ที่สิงห์บุรี
เจ้าของร้านบอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากศาลากลางหลังเก่าของสิงห์บุรี และด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นจิตรกรก็เลยออกแบบให้มีกลิ่นอายสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ร้านเลยออกมาสวยอย่างที่เห็น
เมนูแนะนำคือ : สเต็กซี่โครง, วุ้นเส้นชะอมกุ้ง, ปลาช่อนแม่ลาลุยสวน, ตำป่า, ช็อกโกแลตลาวา, เฌอแตมไอซ์คอฟฟี่
มื้อเย็นวันที่สองแวะ แม่ลาปลาเผา ร้านดังแห่งสิงห์บุรี กับเมนูปลาช่อนแม่ลาที่ครองใจลูกค้ามานานกว่า 30 ปี ร้านนี้มีสัญลักษณ์รูปขวดที่มองเห็นมาแต่ไกล กับความสูงเท่าตึก 5 ชั้น ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าร้าน เจ้าของร้านบอกว่า เหตุผลที่มีขวดเป็นสัญลักษณ์ เกิดจากแนวความคิดของคุณพ่อ ที่นำขวดเหลือใช้มาก่อให้เกิดประโยชน์ จนกลายเป็นประติมากรรมขวดที่ทำให้คนจำง่ายขึ้น เวลาขับรถมาบนถนนสายเอเซีย แค่เห็นขวดใบใหญ่ก็แสดงว่าถึงแล้ว ร้านแม่ลาปลาเผา
มาแล้วต้องไม่พลาด เมนูไฮไลท์ของร้าน ไม่ว่าจะเป็น ปลาช่อนเผา, ต้มยำพุงไข่ปลาช่อน, น้ำพริกปลาช่อน, ปลาช่อนแดดเดียว และยังมีเมนูจากกุ้งแม่น้ำให้เลือกสั่งอีกเพียบ ร้านกว้างขวางรับลูกค้าได้นับพันคน ช่วงเทศกาลสามารถรองรับลูกค้าที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือได้สบายๆ
คืนที่สองเปลี่ยนบรรยากาศมานอนรีสอร์ทใกล้ๆ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ตอนเช้าจะได้ออกไปเดินตลาดกันง่ายๆ หน่อย
และที่นี่ก็เป็นอีกเซอร์ไพรส์ที่เราถึงกับอึ้ง! Mabuna Resort (มาบูน่ารีสอร์ท) พื้นที่กว้างขวางมากกกก สระว่ายน้ำก็ใหญ่มากด้วย กว้างจนต้องปั่นจักรยานเที่ยวรอบๆ รีสอร์ท และยังมีเกาะกระต่ายกลางน้ำให้เราได้แวะไปทักทายเจ้ากระต่ายน้อย น่ารักไปอี๊ก!
การเดินทางมาที่รีสอร์ทที่จริงแล้วง่ายมาก แต่ Google Map พาเราหลงเข้าป่าถนนก็เล็กลงเรื่อยๆ ถ้าไม่อยากหลงเหมือนเราก็แค่ใช้เส้นทางเดียวกับอนุสาวรีย์ค่ายบางระจัน หรือตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ถ้ามาจากในเมืองผ่านอนุสาวรีย์แล้วตรงไปจนถึงสถานีตำรวจเลยไปไม่ถึง 500 เมตร จะมีป้ายบอกทางไปรีสอร์ท จากนั้นก็ขับรถเข้าซอยไปประมาณ 1 กม. รีสอร์ทอยู่ทางด้านขวามือ
ถ้าใครอยากมาเที่ยว ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน แนะนำให้มาพักที่นี่ แล้วไปเที่ยวตลาดตอนเช้า รับรองว่าสะดวกมากๆ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาที
DAY 3
เช้านี้ตื่นสายได้สบายๆ เดินเที่ยวเล่น ปั่นจักรยาน รอบๆ รีสอร์ท ไปเล่นกับน้องกระต่ายที่เกาะกลางน้ำ แล้วค่อยไปกินอาหารเช้า ยังมีเวลาเหลือให้ได้นอนแช่ในสระว่ายน้ำส่วนตัวหน้าห้องพัก แล้วค่อยออกไปเที่ยวตลาดย้อนยุคกัน
เราเคยแวะเที่ยวตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจันเมื่อปีแล้ว (แต่น้องๆ ยังไม่เคยมา) จากวันนั้นถึงวันนี้มีร้านค้าเพิ่มขึ้นเยอะแยะมากมาย และยังมีการแสดงกลางน้ำ จำลองเหตุการณ์ของวีรชนค่ายบางระจัน เมื่อครั้งต่อสู้กับพวกข้าศึก
การแสดงกลางน้ำจะมีสองรอบ คือ 11.30 น. และ 15.00 น. เปิดให้ชมฟรี! แต่มีกล่องรับบริจาค สมทบทุนการศึกษาให้กับน้องๆ นักแสดง วันที่เราไปคนเยอะมากก พอถึงเวลาการแสดง ผู้ชมก็มานั่งดูการแสดงอย่างตั้งอกตั้งใจ
มารอบนี้เราได้เจอน้องไฮยีนส์แม่ค้าร้านขนมจีน สาวสวยประจำตลาด สังเกตง่ายๆ ร้านที่หนุ่มๆ มุงเยอะๆ นั่นแหละ ร้านนั้นเลย
ส่วนนี่เป็นร้านปลาร้าสับของหนุ่มหน้าละอ่อน ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ร้านนี้ก็ฮอตไม่ใช่เล่น
เดินตลาดย้อนยุค กินข้าวกลางวัน แล้วตบท้ายทริปนี้ด้วยการแวะไหว้พระที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหารและวัดพิกุลทอง พระอารามหลวง ขอพรก่อนกลับกรุงเทพฯ
เที่ยวง่าย เที่ยวสนุก แม้ไม่มีรถก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะรถเช่า AVIS สามารถไปเที่ยวกับเราได้ทุกที่ ไม่ว่าจะใกล้ไกล รับรถง่ายในทุกๆ สนามบิน ทุกภาค และยังมีโปรโมชั่นส่วนลดอยู่บ่อยๆ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.avisthailand.com/
และนี่คือรายละเอียดและช่องทางการติดต่อของแต่ละสถานที่
ผัดไทยปากบาง สูตรเดิม
ที่อยู่ : ม.1 ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
เปิดทุกวัน : เวลา 07.00-15.00 น.
โทร. 08 1364 6337
จุดสังเกต : อยู่ใกล้ถนนสายเอเซีย ทางหลวงหมายเลข 32 (ขาออกกรุงเทพฯ) กม.81 ใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาปากบาง ด้านหน้าตลาดเก่าปากบาง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก : ผัดไทยปากบาง สูตรเดิม
กุ้งเผาทองชุบ สิงห์บุรี
ที่อยู่ : ถนนสายเอเซีย ทางหลวงหมายเลข 32 (ขาออก กทม.) กม.69 ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
เปิดทุกวัน 09.30-19.30 น.
โทร. 0 3659 9709
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก : กุ้งเผาทองชุบ สิงห์บุรี
บ้านข้าวหอมฟาร์มสเตย์
ที่อยู่ : 159/1 หมู่ที่ 9 ต.หัวไผ่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
โทร 08 2724 0322
Facebook : บ้านข้าวหอมสิงห์บุรี
ราคาที่พัก พร้อมอาหารและกิจกรรม คนละ 750 บาท เลือกได้ว่าจะเรียนรู้เรื่องข้าวอินทรีย์หรือการปลูกผักสลัด
วัดไทร
ที่อยู่ : ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
พิกัด : เลยวัดระนามประมาณ 500 เมตร
GPS : goo.gl/FjRwMw
ร้านเฌอแตม
ที่อยู่ : 249/14 ต.บางพุทรา อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
เปิดเวลา 10.00-21.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร)
โทร. 08 9085 5155
Facebook : เฌอแตม Je t’aime Coffee & Restaurant ณ สิงห์บุรี
ร้านอาหาร แม่ลาปลาเผา สิงห์บุรี
ที่อยู่ : 99/3 หมู่ 7 ต.บางมัญ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
เปิดทุกวัน : 08.30 - 22.00 น.
โทร. 08 0910 8563
Facebook : แม่ลาปลาเผา
Mabuna Resort สิงห์บุรี
ที่อยู่ : 12/1 หมู่ 9 ต.บางระจัน อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี
โทร. 06 1825 3535
Facebook : Mabuna Resort
ราคาที่พัก บ้านเดี่ยวราคา 800 บาท บ้านแฝดพร้อมห้องคาราโอเกะ ราคา 2,000 บาท (พร้อมอาหารเช้า)
ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ต.บางระจัน อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี
เปิดเฉพาะ วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.30-17.00 น.
Facebook : ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน